xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์” เปิดยุทธศาสตร์ตลาดข้าวไทย “เจ๊วา” ปลื้มส่งออก พ.ค.โต 17.6%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พรทิวา นาคาศัย
“พาณิชย์” เปิดยุทธศาสตร์ตลาดข้าวไทย “ไทยแลนด์ ไรซ์ คอนเวนชั่น 2011” หวังเพิ่มปริมาณ-มูลค่าส่งออกเชิงคุณภาพ คาดปี 54 เป็นไปตามเป้า “พรทิวา” ระบุ ตัวเลขส่งออกเดือน พ.ค.54 ขยายตัว 17.6% เกินดุลการค้า 277.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการส่งออก 5 เดือนแรกปีนี้ ขยายตัวสูงถึง 25.22%

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งสำคัญของประเทศ “Thailand Rice Convention และกิจกรรม World Rice Standard Summit 2011” เพื่อแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลก ด้านการผลิตและส่งออกข้าวให้กับคู่ค้าจากต่างชาติที่เข้าประชุมในครั้งนี้กว่า 50 ประเทศได้ทราบถึงคุณภาพ มาตรฐานของข้าวไทย เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าจากประเทศที่จะมาเข้าร่วมการประชุมวิชาการและดูงานที่จังหวัดนครสวรรค์

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของการดำเนินงานในปี 2554 ของกรมการค้าต่างประเทศที่จะมุ่งให้เกิดมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจของตลาดส่งออกข้าวของประเทศไทย และคาดว่าจากกิจกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยผลักดันให้มูลค่าการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ระดับ 9.05 ล้านตัน เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% ของมูลค่าตลาดเดิม

โดยที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 และในปี 2553 ยอดการส่งออกข้าวอยู่ที่ 9.05 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 5,345 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 168,634 ล้านบาท ราคาส่งออกเฉลี่ยประมาณตันละ 591 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งปีที่ผ่านมาตลาดการค้าข้าวของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในปี 2554 กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จึงเร่งเดินหน้าดำเนินงาน เพื่อหาแนวทางในการเพิ่มปริมาณส่งออกข้าวให้มากขึ้น

“ดังนั้น การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการที่จัดขึ้นในครั้งนี้ จะเป็นประตูทางการค้าครั้งสำคัญที่จะเชื่อมต่อการค้าภาครัฐจากทั้งสิ้น 50 ประเทศที่จะเข้าร่วมงาน โดยหากการประชุมวิชาการและการจัดงานมหกรรมข้าวไทยในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ เชื่อว่า จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานของข้าวไทย ระบบการค้าที่มีประสิทธิภาพ และศักยภาพการผลิตส่งออกข้าวของประเทศได้ นั่นหมายถึงการเพิ่มปริมาณยอดการส่งออกข้าวในปีนี้ที่จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน”

พร้อมมองว่า งานนี้ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทยได้ถึงการเป็นข้าวที่มีคุณภาพ และเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงประเทศไทย เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีความหลากหลายของพันธ์ข้าวไทยที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้อย่างเหมาะสม

นางพรทิวา กล่าวอีกว่า การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ Thailand Rice Convention และกิจกรรม World Rice Standard Summit 2011 การจัดงานในครั้งนี้ ถือว่ายิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องด้วยเป็นปีมหามงคล เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้ความสำคัญในด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะข้าวไทยที่เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ โดยการจัดงานประชุมวิชาการ Thailand Rice Convention และกิจกรรม World Rice Standard Summit 2011 จะเป็นโอกาสอันดีของประเทศที่จะได้ร่วมเจรจาทางการค้า ขยายตลาดส่งออก ประชาสัมพันธ์ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของข้าวไทย ให้กับกลุ่มผู้แทนทางการค้าภาครัฐกว่า 50 ประเทศได้ทราบ

นางพรทิวา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ Thailand Rice Convention และกิจกรรม World Rice Standard Summit 2011 ยังได้นำคณะผู้แทนดังกล่าวลงพื้นที่ เพื่อศึกษาดูงานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ระบบการค้าข้าวเสรี ประสิทธิภาพครบวงจร โดยกรมการค้าต่างประเทศได้วางกิจกรรมดูงานในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ณ ท่าข้าวกำนันทรง ซึ่งเป็นตลาดกลางค้าข้าวสารที่ใหญ่ และเป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายสินค้าข้าวสารจากจังหวัดในภาคเหนือ และส่งออกกระจายไปตลาดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และส่งต่อไปยังตลาดต่างประเทศ และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งด้านราคา และคุณภาพ

“การเข้าประชุมวิชาการ และลงพื้นที่เพื่อศึกษาดูงานจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ประเทศไทยจะได้ประชาสัมพันธ์ถึงผลผลิตข้าวไทยที่เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีพันธ์ข้าวหลากหลายให้เลือกบริโภค ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นการตอกย้ำถึงระบบการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม อันเป็นกลไกที่สำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้แทนทางการค้าที่เข้าร่วมประชุมสัมมนาในครั้งนี้ และยังเป็นตัวแปรในการขับเคลื่อน พัฒนาตลาดข้าวไทยให้ตรงตามความต้องการของตลาดในแต่ละประเทศ เกิดการเจรจาซื้อขายข้าวล่วง ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกร ชาวนา ถึงการมีตลาดรองรับที่แน่นอนในอนาคต”

เผยส่งออกไทยเดือน พ.ค.โต 17.6%

นางพรทิวา ยังแถลงตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2554 โดยพบว่า ขยายตัวได้ 17.6% คิดเป็นมูลค่า 19,465 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้า ขยายตัว 33.8% คิดเป็นมูลค่า 19,187 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ในเดือนพฤษภาคม 2554 นี้ ไทยเกินดุลการค้า 278 ล้านดอลลาร์

ส่วนการส่งออกของไทยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-พฤษภาคม) ขยายตัว 25.2% มูลค่า 93,903 ล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้าขยายตัว 29.1% มูลค่า 91,725 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรก ไทยเกินดุลการค้า 2,178 ล้านดอลลาร์ โดยทั้งปี 2554 นี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 15%

สำหรับสินค้าในกลุ่มเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร เติบโต 58.8% โดยเฉพาะข้าวโต 99% ยางพารา 86.5% และสินค้าอาหารโต 27% สินค้าอุตสาหกรรม โต 2.1% โดยกลุ่มสิ่งพิมพ์ เติบโตสูงสุดที่ 154.4% เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก โต 43.3% ผลิตภัณฑ์ยาง โต 34.8% ส่วนสินค้าที่การส่งออกลดลง คือ สินค้ากลุ่มยานยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ลดลง 22.8%

ส่วนการส่งออกไปยังตลาดหลักในเดือนพฤษภาคม 2554 พบว่า ตลาดหลักเพิ่มขึ้น 24.4% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราที่สูงทุกตลาด โดยญี่ปุ่นโต 30.4% สหรัฐฯ โต 21.9% ยุโรป โต 20.7% ส่วนตลาดศักยภาพสูง เพิ่มขึ้น 28.1% เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราสูงทุกตลาดเช่นกัน โดยเฉพาะไต้หวัน โต 46.5% เกาหลีใต้ โต 32.1% ฮ่องกง โต 31.7% อินเดีย โต 24.9% จีน 21.2% และอาเซียน โต 28%

ส่วนตลาดศักยภาพรอง ส่งออกเพิ่มขึ้น 4.1% ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนเมษายน 2554 ที่เพิ่มขึ้น 1% เนื่องจากส่งออกไปรัสเซียและ CIS โตถึง 120.9% รองลงมา คือ แคนาดา เพิ่มขึ้น 45.5% แอฟริกา 34.3% ตะวันออกกลาง 26.1% และละตินอเมริกา 14.1% ส่วนการส่งออกไปออสเตรเลีย ลดลง 42.3% เนื่องจากการส่งออกทองคำลดลงถึง 100% เหตุเพราะทองคำมีราคาสูงขึ้น และการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบลดลง 57.9%

รมว.พาณิชย์ ยังเชื่อว่า การส่งออกในปี 2554 นี้จะขยายตัวได้ประมาณ 15% คิดเป็นมูลค่า 224,608 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ไม่กังวลกับการส่งออกในไตรมาส 3 เนื่องจากในครึ่งปีแรกการส่งออกสามารถทำได้ดี และเชื่อว่า การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เหตุเพระกระทรวงพาณิชย์มีแผนจะจัดงานเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าไทยอีกหลายกลุ่ม

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเป้าการส่งออกทั้งปี คือ การเมืองในตะวันออกกลาง แนวโน้มเงินบาทแข็งค่า ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกชนิดปรับตัวสูงจนนักลงทุนอาจชะลอคำสั่งซื้อ ขณะเดียวกัน ปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลชุดใดจะได้เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็อาจเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาด้วยเช่นกัน แต่เชื่อว่า จะสามารถฝ่าฟันและทำเป้าส่งออกได้เป็นไปตามเป้าหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น