“พาณิชย์” ยันปิดด่านชายแดนไทย-เขมร 2 แห่ง กระทบการค้าจิ๊บจ๊อย เหตุด่านหลักยังเปิดทำการปกติ พร้อมส่งเสบียงทั้งข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช ให้ทหารและผู้อพยพ ด้านส.อ.ท.หวังรัฐบาลใช้การเจรจา ไม่ควรลดระดับความสัมพันธ์ เกรงจะกระทบต่อการค้า
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ ประสานงานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และสระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์ค้าชายแดนกับกัมพูชาแล้ว เบื้องต้นมีการปิดด่านชายแดนแล้ว 2 แห่ง คือ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ และจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จ.สุรินทร์ ทำให้การค้าชายแดนบริเวณดังกล่าวชะงักงัน ส่งผลให้มูลค่าการชายแดนบริเวณดังกล่าวลดลงเหลือเพียงวันละ 1.3 ล้านบาท จากปี 2553 ที่มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยวันละประมาณ 4.6 ล้านบาท หรือทั้งปี 2553 มีมูลค่า 1,673 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้มีการปิด 2 ด่านดังกล่าว แต่การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ยังดำเนินไปได้โดยผ่านด่านอื่นๆ แต่ผู้ประกอบการค้าได้ร่นระยะเวลาการข้ามแดนเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะที่จ.สระแก้ว และตราด ซึ่งมีมูลค่าการค้าชายแดนสูงสุด มีสัดส่วนการค้าสูงถึง 90% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งหากปิดด่านเป็นเวลานาน เชื่อแน่ว่า จะไม่ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดสินค้าให้กับสินค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม หรือจีน เพราะชาวกัมพูชานิยมสินค้าไทยมากกว่า
“การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีสัดส่วนเพียง 7.1% ของมูลค่าการค้าชายแดนของไทยกับเพื่อนบ้าน โดยการค้าชายแดนที่ จ.ศรีสะเกษ และ สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ มีสัดส่วนการค้าเพียง 0.2% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทยกับเพื่อนบ้านเท่านั้น หากการสู้รบไม่ขยายตัวออกไปยังจังหวัดอื่นๆ จะไม่กระทบต่อการค้าชายแดนของไทย แต่หากยืดเยื้อ และขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ จะส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการการทั้ง 2 ประเทศ แต่กระทรวงพาณิชย์จะหาทางเยียวยาผู้ประกอบการในภายหลัง ขณะนี้ต้องเอาเรื่องความมั่นคงก่อน” นางพรทิวา กล่าว
นางพรทิวา กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่กระทรวงกลาโหม โดยมี พลโท สุพจน์ เจริญรัตนกุล ผู้ทรงคุณวุฒิกองบัญชาการกองทัพไทย เป็นผู้รับมอบ โดยมีข้าวสาร 30,000 ถุง (ถุงละ 4 กิโลกรัม) หรือ 120,000 กิโลกรัม ไข่ไก่ 30,000 ฟอง และน้ำมันพืช 1,200 ขวด เพื่อสนับสนุนกำลังพลทหารกองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน รวมถึงประชาชนผู้ประสบอุทกภัยจากเหตุปะทะกัน ซึ่งต้องอพยพจากที่อยู่อาศัยไปยังศูนย์อพยพ ใช้เป็นเสบียงและปรุงเป็นอาหาร จากก่อนหน้านี้ที่ได้ส่งมอบข้าวสารไปแล้ว 7,600 กิโลกรัม และน้ำมันพืช 480 ขวด
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ด่านการค้าที่มีการส่งออกสินค้าไทยไปยังกัมพูชาปริมาณมากที่สุดอยู่ที่ จ.สระแก้ว ส่วนด่านการค้าชายแดนช่องจอม จ.สุรินทร์ ส่วนใหญ่จะส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าพลังงานและวัสดุก่อสร้าง เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เศษเหล็ก เศษอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สามารถนำไปผลิตเป็นยุทธภัณฑ์ได้ ซึ่งหากกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่าควรจะปิดด่าน เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงวัตถุดิบที่เป็นยุทธปัจจัย กระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ขัดข้องและเห็นด้วย
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้อนุมัติให้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ส่วนผลกระทบต่อภาคธุรกิจจากการสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้ยังมีไม่มาก เพราะเท่าที่ติดตามสถานการณ์ยังจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณชายแดนจ.สุรินทร์ โดยภาพรวมยังไม่เกิดความเสียหายใดๆ จึงต้องการฝากให้รัฐบาลเน้นการเจรจาและไม่ควรจะลดระดับความสัมพันธ์ลง
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.ในฐานะเลขาธิการสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า หากการสู้รบไม่ขยายตัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่จะกระทบเพียงการค้าชายแดนที่ช่องจอม และช่องสงำที่มีมูลค่าไม่มากนัก เนื่องจากการค้าส่วนใหญของไทยอยู่ที่ด่านอรัญประเทศ และด่านคลองลึกที่ยังเปิดตามปกติ ส่วนการยั่วยุผ่านเอสเอ็มเอส และสื่อต่างๆ ยังไม่มากเหมือนปี 2549 และเอกชนเองก็ยังมั่นใจว่าจะไม่ซ้ำรอยเช่นอดีต เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเพื่อนบ้านกันอยู่ วันนี้ด้านการเมืองทางทหารก็ว่ากันไป แต่ความสัมพันธ์ก็จะต้องระวังด้วย
สำหรับการค้าชายแดนไทยทั้งระบบปี 2553 มีมูลค่าทั้งสิ้น 777,375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7% ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 850,000 ล้านบาท โดยกัมพูชาเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 4 คิดเป็นสัดส่วน 7.09% ขณะที่การส่งออกปีนี้จะได้ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ ประสานงานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และสระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์ค้าชายแดนกับกัมพูชาแล้ว เบื้องต้นมีการปิดด่านชายแดนแล้ว 2 แห่ง คือ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ และจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จ.สุรินทร์ ทำให้การค้าชายแดนบริเวณดังกล่าวชะงักงัน ส่งผลให้มูลค่าการชายแดนบริเวณดังกล่าวลดลงเหลือเพียงวันละ 1.3 ล้านบาท จากปี 2553 ที่มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยวันละประมาณ 4.6 ล้านบาท หรือทั้งปี 2553 มีมูลค่า 1,673 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้มีการปิด 2 ด่านดังกล่าว แต่การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ยังดำเนินไปได้โดยผ่านด่านอื่นๆ แต่ผู้ประกอบการค้าได้ร่นระยะเวลาการข้ามแดนเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะที่จ.สระแก้ว และตราด ซึ่งมีมูลค่าการค้าชายแดนสูงสุด มีสัดส่วนการค้าสูงถึง 90% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งหากปิดด่านเป็นเวลานาน เชื่อแน่ว่า จะไม่ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดสินค้าให้กับสินค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม หรือจีน เพราะชาวกัมพูชานิยมสินค้าไทยมากกว่า
“การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีสัดส่วนเพียง 7.1% ของมูลค่าการค้าชายแดนของไทยกับเพื่อนบ้าน โดยการค้าชายแดนที่ จ.ศรีสะเกษ และ สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ มีสัดส่วนการค้าเพียง 0.2% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทยกับเพื่อนบ้านเท่านั้น หากการสู้รบไม่ขยายตัวออกไปยังจังหวัดอื่นๆ จะไม่กระทบต่อการค้าชายแดนของไทย แต่หากยืดเยื้อ และขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ จะส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการการทั้ง 2 ประเทศ แต่กระทรวงพาณิชย์จะหาทางเยียวยาผู้ประกอบการในภายหลัง ขณะนี้ต้องเอาเรื่องความมั่นคงก่อน” นางพรทิวา กล่าว
นางพรทิวา กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่กระทรวงกลาโหม โดยมี พลโท สุพจน์ เจริญรัตนกุล ผู้ทรงคุณวุฒิกองบัญชาการกองทัพไทย เป็นผู้รับมอบ โดยมีข้าวสาร 30,000 ถุง (ถุงละ 4 กิโลกรัม) หรือ 120,000 กิโลกรัม ไข่ไก่ 30,000 ฟอง และน้ำมันพืช 1,200 ขวด เพื่อสนับสนุนกำลังพลทหารกองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน รวมถึงประชาชนผู้ประสบอุทกภัยจากเหตุปะทะกัน ซึ่งต้องอพยพจากที่อยู่อาศัยไปยังศูนย์อพยพ ใช้เป็นเสบียงและปรุงเป็นอาหาร จากก่อนหน้านี้ที่ได้ส่งมอบข้าวสารไปแล้ว 7,600 กิโลกรัม และน้ำมันพืช 480 ขวด
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ด่านการค้าที่มีการส่งออกสินค้าไทยไปยังกัมพูชาปริมาณมากที่สุดอยู่ที่ จ.สระแก้ว ส่วนด่านการค้าชายแดนช่องจอม จ.สุรินทร์ ส่วนใหญ่จะส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าพลังงานและวัสดุก่อสร้าง เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เศษเหล็ก เศษอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สามารถนำไปผลิตเป็นยุทธภัณฑ์ได้ ซึ่งหากกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่าควรจะปิดด่าน เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงวัตถุดิบที่เป็นยุทธปัจจัย กระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ขัดข้องและเห็นด้วย
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้อนุมัติให้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ส่วนผลกระทบต่อภาคธุรกิจจากการสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้ยังมีไม่มาก เพราะเท่าที่ติดตามสถานการณ์ยังจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณชายแดนจ.สุรินทร์ โดยภาพรวมยังไม่เกิดความเสียหายใดๆ จึงต้องการฝากให้รัฐบาลเน้นการเจรจาและไม่ควรจะลดระดับความสัมพันธ์ลง
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.ในฐานะเลขาธิการสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า หากการสู้รบไม่ขยายตัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่จะกระทบเพียงการค้าชายแดนที่ช่องจอม และช่องสงำที่มีมูลค่าไม่มากนัก เนื่องจากการค้าส่วนใหญของไทยอยู่ที่ด่านอรัญประเทศ และด่านคลองลึกที่ยังเปิดตามปกติ ส่วนการยั่วยุผ่านเอสเอ็มเอส และสื่อต่างๆ ยังไม่มากเหมือนปี 2549 และเอกชนเองก็ยังมั่นใจว่าจะไม่ซ้ำรอยเช่นอดีต เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเพื่อนบ้านกันอยู่ วันนี้ด้านการเมืองทางทหารก็ว่ากันไป แต่ความสัมพันธ์ก็จะต้องระวังด้วย
สำหรับการค้าชายแดนไทยทั้งระบบปี 2553 มีมูลค่าทั้งสิ้น 777,375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7% ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 850,000 ล้านบาท โดยกัมพูชาเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 4 คิดเป็นสัดส่วน 7.09% ขณะที่การส่งออกปีนี้จะได้ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท