นายกฯ กำชับทบทวนนโยบายกับกัมพูชา ไม่ให้กระทบการค้าชายแดน ครม.สรุปไม่ปิดด่าน กลัวกระทบธุรกิจ แค่ทบทวนด้วย 3 มาตรการ โต้ตอบทางทหาร รุกการทูต ทุกกระทรวง ทบทวนร่วมมือกับกัมพูชา สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา หวั่นเหตุปะทะชายแดนรุนแรงกระทบเศรษฐกิจ เสนอรัฐพิจารณา 4 แนวทางยุติปัญหา ขณะที่ ส.อ.ท. ค้านปิดด่านชายแดน หวั่นเหตุบานปลาย
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ที่ประชุมมีการแสดงความเห็นเรื่องของกัมพูชาอย่างหลากหลาย นายกรัฐมนตรีกำชับทุกกระทรวงพิจารณาทบทวนนโยบายกับกัมพูชาให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ต้องไม่กระทบด้านการค้าตามแนวชายแดน และจำกัดปัญหาเฉพาะ 2 จุด คือ ที่บริเวณปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม ให้ยึดหลักทำงาน 3 หลัก คือการตอบโต้ทางการทหาร การรุกเชิงการทูต และการปรับมาตรการทำงานร่วมกันของทุกกระทรวงให้เป็นเอกภาพ เบื้องต้นได้ใช้มาตรการทางการทหารกดดันในพื้นที่ ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผล
"รัฐบาลมีหลักฐานสำคัญจะนำมาใช้ในการเจรจาเพื่อให้เหตุปะทะยุติลง เพราะระหว่างที่ทหารไทยเจรจากับทหารกัมพูชา กลับมีการโจมตีจากทางฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจะนำหลักฐานนี้ไปประกอบการชี้แจงต่อนานาชาติด้วย"
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมว่า การดำเนินการทางการทหารต้องดำเนินนโยบายอย่างรัดกุม จำกัดเฉพาะ 2 จุดไม่ให้ขยายพื้นที่ขัดแย้ง ป้องกันการเปิดช่องให้นานาชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนยุทธวิธีทางการทหารเมื่อคืนที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถผลักดันทหารกัมพูชาให้ถอยห่างจากพื้นที่ออกไปได้
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะเลขาธิการสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา เปิดเผยภายหลังการประชุมจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า ที่ประชุมเสนอให้ภาครัฐ พิจารณา 4 ข้อเสนอ เพื่อยุติเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพุชา คือ 1.หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการปิดด่านชายแดน ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการปิดด่าน เพราะจะทำให้ปัญหาซับซ้อนและแก้ไขยากขึ้น รวมถึงการใช้มาตรการตัดไฟฟ้าและการส่งออกน้ำมัน
2.ภาครัฐต้องแยกเรื่องเศรษฐกิจออกจากปัญหาความขัดแย้ง 3.ผู้แทนภาครัฐต้องไม่ให้สัมภาษณ์ในเชิงยั่วยุหรือดูแคลนทหารกัมพูชา เพราะนักธุรกิจไทยในกัมพูชาไม่สบายใจ และ4.ควรใช้พื้นที่พิพาทหรือพื้นที่ที่ปักปันเขตแดนไม่ได้ร่วมกัน เช่น พื้นที่รอบเขตมรดกโลกเขาพระวิหาร
"หากรัฐใช้นโยบายงดจ่ายไฟฟ้าให้กัมพูชา จะไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ทั้ง 2 ประเทศ โดยปีที่ผ่านมา กัมพูชาต้องพึ่งพาน้ำมันจากไทย 2,259 ล้านบาท และในปีนี้ คาดว่าความต้องการน้ำมันจากไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาท"
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผลกระทบทางธุรกิจยังมีไม่มากนัก แต่คาดว่าแนวโน้มการลงทุนของไทยในกัมพูชาจะลดลง โดยปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ปี 2553 มีเอกชนไทยได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกัมพูชา( Cambodia Investment Board ) เพียง 1 โครงการ มูลค่าการลงทุน 1 ล้านดอลลาร์
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการปิดชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะสถานการณ์จะบานปลายมากขึ้น แต่หากจำเป็นต้องปิดชายแดน ก็ควรปิดเฉพาะจุดที่มีปัญหาเท่านั้น โดยภาคเอกชนเชื่อว่ารัฐบาลคงพยายามประสานงานในพื้นที่และหาทางให้เกิดสันติ ซึ่งรัฐบาลควรใช้แนวทางในการเจรจาเพื่อลดข้อขัดแย้ง