ครม.ไม่ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อ้างกลัวกระทบนักธุรกิจไทย แค่ทบทวนนโยบายความร่วมมือกับกัมพูชา พร้อมวาง 3 มาตรการแก้ปัญหา ทั้งตอบโต้ทางทหาร รุกเชิงการทูตให้เขมรยอมกลับมาสู่ทวิภาคี และให้กระทรวงต่างๆ ทบทวนความร่วมมือกับกัมพูชา
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้หารือถึงปัญหาเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงทบทวนกลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น ด้านการค้า ด้านวัฒธรรม และด้านการข่าว โดยให้แต่ละกระทรวงที่มีความเกี่ยวข้องประสานงานโดยตรงกับกระทรวงต่างประเทศ แต่ยังไม่มีมาตรการปิดด่านชายแดนหรือเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่อื่นๆ เพราะจะส่งผลกระทบต่อนักธุรกิจไทยมาก แต่จะเป็นเน้นการตรวจตราประชาชนที่เดินทางระหว่างประเทศทั้งสองให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หากกระทรวงใดไม่สามารถดำเนินการได้ตามมติดังกล่าวจะต้องขออนุมัติจากที่ประชุม ครม.ก่อน โดยมาตรการแก้ปัญหาในขณะนี้จะยึด 3 แนวทาง คือ การตอบโต้ทางการทหารและผลักดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่, มาตรการทางการทูตเพื่อให้กัมพูชากลับมาสู่การเจรจาระดับทวิภาคี และการปรับมาตรการการทำงานและกลไกของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา
"รัฐบาลมีหลักฐานสำคัญที่จะนำมาใช้ในการเจรจาเพื่อให้เหตุปะทะยุติลง เพราะในระหว่างที่ทหารไทยเจรจาอยู่กับทหารกัมพูชา กลับมีการโจมตีจากทางฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจะนำหลักฐานนี้ไปประกอบกับการชี้แจงต่อนานาชาติด้วย"
นายปณิธานกล่าวอีกว่า ขณะนี้นานาชาติต้องการให้กัมพูชากลับมาสู่การเจรจา และเชื่อว่าการที่ผู้นำสองประเทศจะได้พบปะในการประชุมอาเซียนสัปดาห์หน้าที่ประเทศอินโดนีเซียจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ขณะที่กรอบของอาเซียนนั้นทางไทยได้ส่งหนังสือถึงประธานอาเซียน และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้นัดประชุมกับประธานอาเซียนในวันที่ 28 เม.ย.นี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะเน้นมาตรการรักษาความปลอดภัยของประชาชน และดูแลไม่ให้เหตุปะทะขยายวงออกไป เพราะทางกัมพูชาพยายามจะยกระดับ แต่ทางไทยสามารถควบคุมได้ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ทางกองทัพเตรียมพร้อมตลอดเวลา พร้อมกันนี้ขอยืนยันว่าแนวนโยบายของรัฐบาลและกองทัพตรงกันไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน และแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลรักษาการก็สามารถดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ได้ไม่มีปัญหา
ทั้งนี้เชื่อว่า สถานการณ์โดยรวมในขณะนี้เริ่มคลายตัว แต่เหตุปะทะที่เกิดขึ้นอาจยังต้องใช้เวลาในการควบคุมสถานการณ์ แต่ทางรัฐบาลและกองทัพจะต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีการยกระดับรุนแรงมากยิ่งขึ้น