หัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ควงแขนขุนคลัง “ กรณ์ จาติกวณิช” และ “วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” เจ้ากระทรวงพลังงานออกมาแถลงข่าวเดินหน้าอุ้มน้ำมันดีเซลโดยลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีมูลค่าเพิ่มจากหัวจ่ายหลังข้อมูลชัดเจนแล้วว่าเงินกองทุนน้ำมันใช้อุ้มได้แค่สิ้นเดือนเมษายนนี้เท่านั้น
โดยเงินภาษีที่รับบาลยอมเฉือนเนื้อลงตกที่ลิตรละ 5.70 บาท ซึ่งมีการประเมินแล้วว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 4.5 หมื่นล้านบาท !
แม้ว่าขุนคลังจะวิ่งรอกออกรายการข่าวตามฟรีทีวีช่องต่างๆ เพื่อยืนยันว่าจำเป็นต้องเดินหน้าตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปแม้จะกระทบต่อรายได้ไปบ้างแต่ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเพราะตอนนี้รายได้รัฐบาลเกินดุลแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท ไม่กระทบต่อภาระทางการคลังแน่นอน
แต่มาตรการที่ออกมาในครั้งนี้ ผศ.ดร.พีระ เจริญพร นักวิชาการกลุ่ม Policy Watch อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าในระยะสั้นถือว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนแต่การแก้ปัญหาระยะสั้นนี้จะก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง
ซึ่งการอุ้มดีเซลเพื่อชะลอเงินเฟ้อในครั้งนี้รัฐบาลสามารถคาดการณ์ได้หรือไม่ว่าในระยะต่อไปราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้จะทะยานไปมากแค่ไหน กลไกภาษีที่ใช้แน่นอนว่าในระยะต่อไปย่อมส่งผลต่อภาระทางการคลังแน่นอน
สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้และต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติคือการรณรงค์ให้คนไทยประหยัดการใช้พลังงานควบคู่ไปกับมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน เพราะหากกระเตงอุ้มต่อไปโดยไม่มีกำหนดไม่ว่าจะเพื่อประเด็นการเมืองหรืออะไรก็ตามจะทำให้กลไกและพฤติกรรมการใช้พลังงานบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง
หากความแตกต่างระหว่างเบนซินและดีเซลถ่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่ใช่การอุ้มภาคขนส่งคนใช้รถบ้านก็จะหันมาใช้รถดีเซลกันหมด
ที่สำคัญสิ่งที่รัฐบาลฝันว่าจะให้ประเทศไทยทำงบประมาณสมดุลภายใน 5 ปี ตามที่ตั้งใจไว้คงไม่เกิดขึ้นตามความฝันอย่างแน่นอน...
ต่อกันที่ดัชนีหุ้นประจำวันที่ 18 เม.ย. ปิดที่ 1,090.67 จุด เพิ่มขึ้น 5.76 จุด หรือ 0.53 % แตะระดับสูงสุด 1,092.14 จุด และต่ำสุดที่ 1,084.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 34,296 ล้านบาท ถือว่าเคลื่อนไหวได้ดีเกินคาดการณ์และออกมาดีกว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ในแดนลบกับบวกเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นแรงเก็งกำไรจากหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชยที่ใกล้จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 และหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งกลุ่มสื่อสารบางตัว
ปิดท้ายด้วยข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ “อุฬาร เกรียวสกุล” (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัทกระเบื้องโอฬาร จำกัด นำทีมผู้ประกอบการผลิตและนำเข้าสินค้ากระเบื้องที่ทำจากแร่ใยหินไครโซไทล์ออกมายืนยันว่ากระเบื้องแร่ใยหินไครโซไทล์มีคุณสมบัติทนทาน ราคาถูก และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งกระเบื้องประเภทดังกล่าวมีใช้ในประเทศไทยมานานกว่า 70 ปี ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าพบผู้ป่วย วอนรัฐบาลหากยกเลิกการนำเข้าและผลิตสินค้าที่มีแร่ใยหินไครโซไทล์ จะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ และสร้างความเสียหายให้แก่ภาคเกษตรกรรมอย่างมาก...
โดยเงินภาษีที่รับบาลยอมเฉือนเนื้อลงตกที่ลิตรละ 5.70 บาท ซึ่งมีการประเมินแล้วว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 4.5 หมื่นล้านบาท !
แม้ว่าขุนคลังจะวิ่งรอกออกรายการข่าวตามฟรีทีวีช่องต่างๆ เพื่อยืนยันว่าจำเป็นต้องเดินหน้าตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปแม้จะกระทบต่อรายได้ไปบ้างแต่ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเพราะตอนนี้รายได้รัฐบาลเกินดุลแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท ไม่กระทบต่อภาระทางการคลังแน่นอน
แต่มาตรการที่ออกมาในครั้งนี้ ผศ.ดร.พีระ เจริญพร นักวิชาการกลุ่ม Policy Watch อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าในระยะสั้นถือว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนแต่การแก้ปัญหาระยะสั้นนี้จะก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง
ซึ่งการอุ้มดีเซลเพื่อชะลอเงินเฟ้อในครั้งนี้รัฐบาลสามารถคาดการณ์ได้หรือไม่ว่าในระยะต่อไปราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้จะทะยานไปมากแค่ไหน กลไกภาษีที่ใช้แน่นอนว่าในระยะต่อไปย่อมส่งผลต่อภาระทางการคลังแน่นอน
สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้และต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติคือการรณรงค์ให้คนไทยประหยัดการใช้พลังงานควบคู่ไปกับมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน เพราะหากกระเตงอุ้มต่อไปโดยไม่มีกำหนดไม่ว่าจะเพื่อประเด็นการเมืองหรืออะไรก็ตามจะทำให้กลไกและพฤติกรรมการใช้พลังงานบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง
หากความแตกต่างระหว่างเบนซินและดีเซลถ่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่ใช่การอุ้มภาคขนส่งคนใช้รถบ้านก็จะหันมาใช้รถดีเซลกันหมด
ที่สำคัญสิ่งที่รัฐบาลฝันว่าจะให้ประเทศไทยทำงบประมาณสมดุลภายใน 5 ปี ตามที่ตั้งใจไว้คงไม่เกิดขึ้นตามความฝันอย่างแน่นอน...
ต่อกันที่ดัชนีหุ้นประจำวันที่ 18 เม.ย. ปิดที่ 1,090.67 จุด เพิ่มขึ้น 5.76 จุด หรือ 0.53 % แตะระดับสูงสุด 1,092.14 จุด และต่ำสุดที่ 1,084.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 34,296 ล้านบาท ถือว่าเคลื่อนไหวได้ดีเกินคาดการณ์และออกมาดีกว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ในแดนลบกับบวกเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นแรงเก็งกำไรจากหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชยที่ใกล้จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 และหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งกลุ่มสื่อสารบางตัว
ปิดท้ายด้วยข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ “อุฬาร เกรียวสกุล” (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัทกระเบื้องโอฬาร จำกัด นำทีมผู้ประกอบการผลิตและนำเข้าสินค้ากระเบื้องที่ทำจากแร่ใยหินไครโซไทล์ออกมายืนยันว่ากระเบื้องแร่ใยหินไครโซไทล์มีคุณสมบัติทนทาน ราคาถูก และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งกระเบื้องประเภทดังกล่าวมีใช้ในประเทศไทยมานานกว่า 70 ปี ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าพบผู้ป่วย วอนรัฐบาลหากยกเลิกการนำเข้าและผลิตสินค้าที่มีแร่ใยหินไครโซไทล์ จะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ และสร้างความเสียหายให้แก่ภาคเกษตรกรรมอย่างมาก...