นายกฯ ยันจำเป็นอุ้มราคาดีเซลที่ลิตรละ 30 บาท เพื่อดูแล ศก.โดยรวม ยอมรับกองทุนน้ำมันเหลือแค่ 4 พันล้าน คลังเตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบ ลดภาษีสรรพสามิต 5.70 บาท/ลิตร ลงเหลือ 0 ในการประชุม 20 เม.ย.นี้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเข้าประชุมแก้ปัญหาราคาน้ำมันกับ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยยอมรับว่า ยังมีความจำเป็นต้องตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากกังวลภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งผลกระทบจากวิกฤติการณ์ในประเทศญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง แต่ขณะนี้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือเพียง 4 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น หลังจากชดเชยดีเซลมาระยะหนึ่ง
สำหรับผลการหารือกับ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า รัฐมนตรีทั้ง 2 ราย ต่างเห็นพ้องกันที่จะให้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเหลือไม่เกิน 1 สตางค์ หรือใกล้เคียงกับ 0 ซึ่งจะสามารถดูแลระดับราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตรได้ และจะไม่กระทบต่อสถานะของกองทุนน้ำมันฯ ที่จะยังคงเป็นบวกได้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2554
“หลังจากได้มีการปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน ก็เห็นว่า ยังจำเป็นต้องยันราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาท เพื่อดูแลเศรษฐกิจในภาพรวม โดยขณะนี้เห็นว่า ถ้าหากดำเนินมาตรการไม่เก็บภาษีสรรพสามิต หรือเก็บใกล้เคียงกับ 0 จะสามารถดูแลราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่ 30 บาทต่อลิตรได้”
ดังนั้น กระทรวงการคลังอาจลดหรือเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเหลือ 0.005 บาทต่อลิตร ซึ่งเดิมจัดเก็บที่ลิตรละ 5.30 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 40 สตางค์ต่อลิตร รวมเป็นเงินที่ยกเว้นทั้งสิ้น 5.70 บาทต่อลิตร เพื่อให้สามารถตรึงราคาดีเซลต่อไปได้
ทั้งนี้ คาดว่า กระทรวงการคลังจะนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ในวันพุธที่ 20 เมษายน 2554 นี้ แล้วจะเร่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ทันที ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องแบกรับภาระอุดหนุนราคาดีเซลต่อไปหลังจากปัจจุบันต้องจ่ายเงินอุดหนุนราคาดีเซลที่ 6.40 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ ยังมีภาษีในส่วนอื่นๆ อีกประมาณ 30 สตางค์ต่อลิตร เช่น ภาษีเทศบาล ซึ่งจะใช้อุดหนุนเพิ่มเติมด้วย
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังในปีงบประมาณ 2554 เพราะถือว่าการจัดเก็บรายได้เกินเป้า ซึ่งจะไม่กระทบกับกรอบการกู้เงินใดๆ ทั้งสิ้นของรัฐบาล ส่วนกรอบงบประมาณปี 2555 ที่อาจจะได้รับผลกระทบในกรณีจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตนั้น หากได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกก็จะสานต่อนโยบายนี้ พร้อมทั้งปรับสัดส่วนงบประมาณปี 2555 ให้มีความเหมาะสม
“ยืนยันว่า หากรัฐบาลปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงเกินลิตรละ 30 บาท จะส่งผลต่อราคาสินค้าที่อาจจะปรับขึ้นตามมาเป็นลูกโซ่ และจะทำให้เกิดทั้งภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด รวมทั้งกระทบต่อภาวะความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้ ซึ่งการปล่อยให้ราคาสินค้าสูงขึ้นแล้ว เชื่อว่า จะเป็นการยากที่จะทำให้ราคาสินค้ายอมปรับลดลง ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องบริหารจัดการด้วยแนวทางดังกล่าวเพื่อเศรษฐกิจในภาพรวม”
นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า จากปัจจัยของวิกฤตเศรษฐกิจในญี่ปุ่น และตะวันออกกลางก็ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เชื่อว่าวิกฤตในตะวันออกกลางจะคงอยู่ตลอดไป
ส่วนกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันเสนอให้ปรับขยายเพดานการตรึงราคาดีเซลจาก 30 บาทต่อลิตร ออกไปประมาณ 1-2 บาท นั้น รัฐบาลไม่สามารถทำได้ เนื่องจากได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไม่ให้ปรับขึ้นราคาค่าขนส่งและต้นทุนในกระบวนการผลิตสินค้า หากรัฐบาล ปรับขยายเพดานการตรึงราคาก็จะทำให้ราคาสินค้าและค่าขนส่งปรับขึ้นทันที กระทบต่อค่าครองชีพและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
นายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่า แนวทางนี้จะสามารถดูแลราคาน้ำมันไปได้อีก 3-4 เดือนข้างหน้า และยังคงทำให้สถานะของกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวก โดยล่าสุด เงินในกองทุนน้ำมันฯ เหลืออยู่ประมาณว 4 พันล้านบาท และเห็นว่า รัฐบาลชุดหน้ามีสิทธิที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายนี้ได้ หากเห็นว่าไม่เหมาะสม
ด้าน นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับนี้ คาดว่า พรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อีกครั้ง ซึ่งจะสามารถลดการชดเชยได้อีก 40 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้เหลือการชดเชยที่ลิตรละ 6 บาท
“ตอนนี้การชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่วันละ 403 ล้านบาท หากพรุ่งนี้ กบง.ลดการชดเชยลง ก็จะลดภาระกองทุนฯ มาอยู่ที่วันละ 300 ล้านบาทกว่าๆ และจะยังไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนในขณะนี้ แต่หากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาอีกก็ค่อยเรียกเก็บอีกครั้งก็ได้ ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่รัฐบาลปฏิบัติมาตลอดและเงินสดในกองทุนฯขณะนี้มีอยู่ประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถดูแลราคาจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นี้ แน่นอน”