xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.เผยรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 11-15 เม.ย.คาดทรงตัวในระดับสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปตท.เผย รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 11-15 เม.ย.นี้ คาด ยังทรงตัวในระดับสูง โดยมีอุปสงค์จากโรงกลั่นในยุโรป และเหตุการณ์ความขัดแย้งในลิเบีย

ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รายงานถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ที่ 4-8 เมษายน 2554 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทุกชนิดราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 5.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 114.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ (Brent) เพิ่มขึ้น 6.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 122.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 109.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ ปตท.พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ เบรนท์ และ เวสต์เทกซัส ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ในวันที่ 8 เมษายน 2554 อยู่ที่ระดับ 117.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล, 126.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 112.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 127.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 6.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 138.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ได้แก่ 1.สถานการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ อาทิ ลิเบียมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นโดยมีการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบได้รับความเสียหาย 2.บริษัทเอกชนในบาห์เรนปลดพนักงานมุสลิมนิกายชีอะห์มากกว่า 100 คนออกจากงาน เนื่องจากพนักงานดังกล่าวหยุดงานประท้วงต่อต้านคณะรัฐบาลที่นับถือมุสลิมนิกายสุหนี่

3.องค์กรนิรโทษกรรมสากลรายงานมีผู้เสียชีวิตในประเทศไนจีเรียแล้วมากกว่า 50 คน จากความรุนแรงทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 16 เมษายน 2554 นี้ ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมขึ้นบริเวณแหล่งผลิตน้ำมัน

4.นักลงทุนมีการซื้อขายน้ำมันดิบ ICE Brent ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า Inter Continental Exchange (ICE) ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในเดือนมีนาคม 2554 ทำสถิติซื้อขายสูงสุด โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 26% อยู่ที่ 11.1 ล้านสัญญา

5.อัตราการว่างงานของประเทศสหรัฐฯ ลดลง 4 เดือนติดต่อกัน โดยพบว่า ในเดือนมีนาคม 2554 อยู่ที่ 8.8% จำนวน ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของประเทศสหรัฐฯ (Initial Jobless Claims) สัปดาห์สิ้นสุด 2 เมษายน 2554 ลดลง 10,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 382,000 ราย

ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ได้แก่ 1.หน่วยงาน Energy Information Administration (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 เมษายน 2554 เพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 357.7 ล้านบาร์เรล และ Distillates เพิ่มขึ้น 0.2 Million Barrels (MMB) อยู่ที่ระดับ 153.5 MMB อย่างไรก็ตาม ปริมาณสำรอง Gasoline ลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 216.7 ล้านบาร์เรล เป็นระดับสำรองที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.7 ล้านบาร์เรล

2.ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.25% อยู่ที่ระดับ 1.25% นับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 3.กระทรวงพลังงานรัสเซียรายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ในเดือนมีนาคม 2554 อยู่ที่ 10.19 Million Barrels Per Day (MMBD) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน ทั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการปฏิรูประบบภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในแหล่งน้ำมันทั้งใหม่และเก่า 3.ธนาคารกลางจีนเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ 0.25% อยู่ที่ 6.31% และ 3.25% ตามลำดับ เป็นการเพิ่มครั้งที่ 4 ในรอบ 7 เดือน

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ ในระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent จะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับ 107-116 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 120-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันจากโรงกลั่นในยุโรป มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในเดือนเมษายน 2554 ภายหลังเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงในเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม 2554 และการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลลิเบียกับฝ่ายต่อต้านยังไม่ยุติ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถเริ่มต้นการเจรจาหยุดยิงได้

โดยล่าสุด พบว่า มีการโจมตีทางอากาศบริเวณแหล่งผลิตน้ำมัน ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบที่ขาดหายไปจะไม่สามารถกลับมาผลิตได้ตามปกติในทันที พร้อมกันนี้ นักวิเคราะห์อ้างถึงความเสียหายจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปี 2534 พบว่า แหล่งผลิตน้ำมันของคูเวตต้องใช้เวลากว่า 2 ปี เพื่อซ่อมแซม และกลับมาดำเนินการผลิต ควรติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีไนจีเรีย ตลอดจนมาตรการขององค์การสหประชาชาติว่าจะสามารถยุติการปะทะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านในลิเบียได้อย่างไร และให้จับตามองรายงานทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และยอดการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน

ด้าน หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบของตลาดโลกในสัปดาห์นี้ ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดเบรนท์ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2554 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 3.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 126.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดเวสต์เทกซัส ปรับเพิ่มขึ้น 2.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 112.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ส่วนราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ ปรับเพิ่มขึ้น 1.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 117.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดกังวลว่าความรุนแรงลิเบียต่อเนื่อง จะทำให้อุปทานน้ำมันดิบขาดหายไปเป็นระยะเวลานาน และปัญหาดังกล่าวอาจขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาตอนเหนือ และตะวันออกกลางได้ ซึ่งสถานการณ์ลิเบียฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐบาล อ้างว่า สามารถยึดพื้นที่เมือง MISRATA คืนจากฝ่ายผู้สนับสนุนของพันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้แล้ว โดยมีผู้เสียชีวิตสองรายในการปะทะกัน ขณะที่ความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 เดือน ประกอบกับอุปทานที่ยังตึงตัวจากการที่จีนมีแผนที่จะส่งออกน้ำมันมายังตลาดจรในภูมิภาคน้อยลง ขณะที่โรงกลั่นในเกาหลีใต้และไต้หวันกำลังเข้าสู่ช่วงการหยุดซ่อมบำรุงตามแผน ส่วนราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 32 เดือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

สำหรับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน เมื่อเทียบกับเงินยูโร หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรปได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และนักลงทุนคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในอนาคต ประกอบกับ ตลาดมีความกังวลว่าการเจรจาระหว่างผู้นำรัฐบาลสหรัฐฯ และผู้นำสภาคองเกรส ในการบรรลุข้อตกลงการจัดทำร่างงบประมาณฉบับใหม่ อาจไม่ทันเวลาที่ร่างฉบับชั่วคราว จะหมดอายุลงในเที่ยงคืนของวันศุกร์ที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐฯ ส่งผลให้หน่วยงานราชการบางหน่วย ต้องปิดทำการชั่วคราวและมีข้าราชการเกือบ 800,000 คนต้องหยุดงาน

ส่วนปริมาณการซื้อสุทธิของสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบเวสเท็กซัสที่ตลาดไนเม็กซ์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าได้ปรับเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น และเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

โดยสรุปปัจจัยในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้ภาพรวมราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในระดับสูง จากความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีโอกาสเคลื่อนไหวสูงขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสมีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
กำลังโหลดความคิดเห็น