xs
xsm
sm
md
lg

แผนควบรวมเครือ ปตท.ชัดเจน มี.ค.รอข้อสรุปเทคนิค-มาบตาพุดคลี่คลาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปตท.คาดแผนควบรวมกิจการในเครือจะมีความชัดเจน มี.ค.-เม.ย.53 หลังได้ข้อสรุปด้านเทคนิคจากเชลล์ และประเด็นมาบตาพุดคลี่คลาย บิ๊กปตท.อะโรเมติกส์ตั้งงบลงทุนปีหน้าจิ๊บๆ แค่ 200-300 ล้านเหรียญใช้ในโครงการยูโร 4

นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือปตท.ว่า ขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากโครงการของปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่นไม่อยู่ในข่ายกิจการที่ต้องหยุดเป็นการชั่วคราวตามคำสั่งศาล แต่มีหลายโครงการของปตท.เคมิคอลที่ยังต้องรอความชัดเจนจากศาลฯ ดังนั้น รูปแบบการควบรวมกิจการของเครือปตท.จะมีความชัดเจนในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 2553

ทั้งนี้ บริษัทในเครือปตท.ที่มีแนวคิดจะควบรวมกิจการกัน ได้แก่ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR ), บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH), บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ซึ่งขณะนี้ได้ว่าจ้างเชลล์ทำการศึกษาเชิงเทคนิคในการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ร่วมกัน คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ หลังจากแมคเคนซีได้รายงานเบื้องต้นแล้ว

"การควบรวมกิจการจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มปตท. แต่ต้องรอปัญหามาบตาพุดให้คลี่คลายก่อน จึงจะดำเนินการได้ หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในเดือน มี.ค.-เม.ย.ปีหน้า กว่าจะดำเนินการควบรวมกิจการก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการร่วมมือกับไออาร์พีซี และปตท.เคมิคอลในการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้กันเช่นเดียวกับไทยออยล์”

นายชายน้อย กล่าวว่า ในปีหน้า บริษัทวางงบลงทุนไว้ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันยูโร 4 และโครงการต่อเนื่อง ซึ่งเป็นวงเงินลงทุนไม่มาก เพราะได้มีการลงทุนโครงการใหญ่ไปก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่ค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) ในปี 2553 น่าจะสูงกว่าปัจจุบันที่อยู่ระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่าธุรกิจการกลั่นจะไม่ดี แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวทั้งสหรัฐฯและยุโรป จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าการกลั่นดีขึ้นจากปัจจุบันค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 3.60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ปัจจุบันมาร์จินของสารอะโรเมติกส์ทั้งพาราไซลีนและเบนซีนยังดีอยู่ โดยส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับวัตถุดิบอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนต่างราคาเบนซีนกับวัตถุดิบเกือบ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีขึ้นมากเนื่องจากจีนมีความต้องการเบนซีน

รายงานข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ แจ้งว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 2553 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยในปี 2552 ที่ประมาณ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงตลอดปี 2552 เริ่มปรับลดลง โดยการใช้น้ำมันจะอยู่ที่ 86.32 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 1.47 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่โอเปกน่าจะยังรักษาเพดานการผลิตที่ระดับ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน

ส่วนกำลังการผลิตน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้วมากถึง 1.6 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2552 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีนและอินเดีย โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น จะกดดันให้โรงกลั่นที่ไม่มีกำไรอาจจะต้องปิดตัวไปอย่างถาวร

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดการณ์ว่าการใช้น้ำมันสำเร็จรูปโดยรวมในประเทศปีหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 2% จากปี 2552 โดยความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานจะปรับตัวสูงขึ้นมาก หลังจากหดตัวมาก ส่วนการใช้ก๊าซหุงต้มก็คาดว่าน่าจะยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนโยบายภาครัฐที่ยังคงตรึงราคาก๊าซหุงต้มต่อไป อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยง หากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วหรือมากกว่าที่คาดไว้ รวมถึงความไม่สงบทางการเมืองในประเทศที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศด้วย

ด้านปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากการขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศในปี 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดในประเทศทวีความรุนแรงขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น