เจเอสแอล ปรับทัพ รับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมทีวีครั้งใหญ่ในอีก 2 ปีข้างหน้า ล่าสุด ดึง “กฤษณัน งามผาติพงศ์” นั่งแท่นซีอีโอคุมบังเหียน ปล่อยหมัดเด็ด พลิกเจเอสแอล สู่ อินเตอร์แอกทีฟ ทีวี ปีหน้าเห็นภาพชัดเจน พร้อมสยายคอนเทนต์ ต่อยอดหารายได้สู่ระดับต่างประเทศต่อไป
นางจำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด เปิดเผยว่า เจเอสแอล ได้ดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี และกำลังก้าวสู่ปีที่ 31 เมื่อนับรวมการทำงานแล้ว ยอมรับว่า ถึงเวลาที่จะมอบหมายหน้าที่การทำงานนี้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ดังนั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทจึงได้มีการดึงทายาทขึ้นมาร่วมบริหารงานในหลายๆ ฝ่าย พร้อมทั้งปรับผังองค์กรภายในใหม่ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางกระแสความเจริญของเทคโนโลยีด้านสื่อที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น
โดยตนพร้อมที่จะวางมือในการทำงาน แต่ยังคงฐานะเป็นที่ปรึกษา หรือมอบนโยบายอยู่ โดยยังคงดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ เป็นต้นไป โดยได้เชิญ นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ เข้ามานั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดูแลในด้านการตลาดและเทคโนโลยีใหม่ๆ และมี นายวัชระ แวววุฒินันท์ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานกันมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เข้ามาดูแลเรื่องของโปรดักชันเป็นสำคัญ เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทในปีนี้ จะส่งผลที่ดีให้กับเจเอสแอลในอนาคตอันใกล้
นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด กล่าวต่อว่า เดิมตนเคยทำงานในระดับผู้บริหารในหลายๆ บริษัท ทั้ง โนเกีย และ เมเจอร์ กรุ๊ป และได้เกษียณการทำงานมาได้กว่า 3 ปี โดยได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่ต่างจังหวัด และระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ยังคงติดตามข่าวสาร และหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งสื่อทีวี หนังสือ รวมถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากเวลาทั้งหมดได้มองเห็นถึงโมเดลการทำงานรูปแบบใหม่ ทำให้อยากกลับมาทำงานอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ทางผู้บริหารเจเอสแอล ซึ่งรู้จักกันมานาน ก็ได้ติดต่อทาบทามให้เข้ามาร่วมงานที่เจเอสแอลเสมอ ดังนั้น เมื่อแนวคิดการทำงานที่ตนอยากจะทำ ได้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเจเอสแอล ตนจึงได้ตกลงใจที่จะเข้ามาร่วมงานด้วย โดยได้เข้ามาศึกษางานก่อนแล้วตั้งแต่ 2 เดือนก่อน พร้อมทั้งได้มีการวางแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารงานแบบ โกลบอล มีเดีย ของเจเอสแอล โดยมี Core Value จาก 4 คำนี้ คือ Passion, Quality, Inspire และ Society
ล่าสุดกับแนวคิดที่ต้องการทำ และเริ่มทดลองไปแล้ว คือ การนำสื่อทีวีไปสู่รูปแบบการนำเสนอแบบ two way เปลี่ยนวิธีการส่งสัญญาณใหม่ ซึ่งถือเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่มีรายไหนทำมาก่อนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในลักษณะของความเป็นอินเตอร์แอกทีฟ ทีวี ซึ่งได้ทดลองกับรายการ 07โชว์ ไปบ้างแล้ว เชื่อว่า ช่วงเดือน ม.ค.2553 จะสามารถเปิดเผยความคืบหน้า
การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้ เบื้องต้นคาดว่า จะใช้เม็ดเงินประมาณ 10 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบนี้ให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และหากแนวคิดนี้มีประสิทธิภาพจริง รายการกว่า 10 รายการที่อยู่ในเครือ จะนำโมเดลนี้เข้าไปสนับสนุน แต่ขึ้นอยู่กับรูปแบบรายการที่นำเสนอด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และการที่บริษัทหันมาพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้ จะทำให้ก้าวทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทันเวลา อีกทั้งยังช่วยให้สามารถต่อยอดคอนเท้นท์ไปสู่ช่องการการสื่อสารในรูปแบบอื่นได้ต่อไป รวมถึงไปสู่ตลาดระดับต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ส่วนด้านเอเจนซี่โฆษณาก็ได้รับผลประโยชน์ และพอใจกับโมเดลนี้ที่ทางเจเอสแอลได้นำไปเสนอบ้างแล้วเช่นกัน
นายกฤษณัน กล่าวต่อว่า สำหรับปีหน้า บริษัทยังเดินหน้าผลิตคอนเทนต์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นละคร และ มิวสิกบิซิเนส เพื่อให้สอดรับความเป็น โกลบอลมีเดีย ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เชื่อว่า ในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้นได้อีก จากภาพรวมรายได้ในปีนี้ มั่นใจว่า จะยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรือมีรายได้ราว 1,000 กว่าล้านบาท จากปีก่อนที่ปิดรายได้ไปกว่า 800 ล้านบาท
นางจำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด เปิดเผยว่า เจเอสแอล ได้ดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี และกำลังก้าวสู่ปีที่ 31 เมื่อนับรวมการทำงานแล้ว ยอมรับว่า ถึงเวลาที่จะมอบหมายหน้าที่การทำงานนี้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ดังนั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทจึงได้มีการดึงทายาทขึ้นมาร่วมบริหารงานในหลายๆ ฝ่าย พร้อมทั้งปรับผังองค์กรภายในใหม่ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางกระแสความเจริญของเทคโนโลยีด้านสื่อที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น
โดยตนพร้อมที่จะวางมือในการทำงาน แต่ยังคงฐานะเป็นที่ปรึกษา หรือมอบนโยบายอยู่ โดยยังคงดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ เป็นต้นไป โดยได้เชิญ นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ เข้ามานั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดูแลในด้านการตลาดและเทคโนโลยีใหม่ๆ และมี นายวัชระ แวววุฒินันท์ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานกันมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เข้ามาดูแลเรื่องของโปรดักชันเป็นสำคัญ เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทในปีนี้ จะส่งผลที่ดีให้กับเจเอสแอลในอนาคตอันใกล้
นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด กล่าวต่อว่า เดิมตนเคยทำงานในระดับผู้บริหารในหลายๆ บริษัท ทั้ง โนเกีย และ เมเจอร์ กรุ๊ป และได้เกษียณการทำงานมาได้กว่า 3 ปี โดยได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่ต่างจังหวัด และระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ยังคงติดตามข่าวสาร และหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งสื่อทีวี หนังสือ รวมถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากเวลาทั้งหมดได้มองเห็นถึงโมเดลการทำงานรูปแบบใหม่ ทำให้อยากกลับมาทำงานอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ทางผู้บริหารเจเอสแอล ซึ่งรู้จักกันมานาน ก็ได้ติดต่อทาบทามให้เข้ามาร่วมงานที่เจเอสแอลเสมอ ดังนั้น เมื่อแนวคิดการทำงานที่ตนอยากจะทำ ได้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเจเอสแอล ตนจึงได้ตกลงใจที่จะเข้ามาร่วมงานด้วย โดยได้เข้ามาศึกษางานก่อนแล้วตั้งแต่ 2 เดือนก่อน พร้อมทั้งได้มีการวางแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารงานแบบ โกลบอล มีเดีย ของเจเอสแอล โดยมี Core Value จาก 4 คำนี้ คือ Passion, Quality, Inspire และ Society
ล่าสุดกับแนวคิดที่ต้องการทำ และเริ่มทดลองไปแล้ว คือ การนำสื่อทีวีไปสู่รูปแบบการนำเสนอแบบ two way เปลี่ยนวิธีการส่งสัญญาณใหม่ ซึ่งถือเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่มีรายไหนทำมาก่อนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในลักษณะของความเป็นอินเตอร์แอกทีฟ ทีวี ซึ่งได้ทดลองกับรายการ 07โชว์ ไปบ้างแล้ว เชื่อว่า ช่วงเดือน ม.ค.2553 จะสามารถเปิดเผยความคืบหน้า
การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้ เบื้องต้นคาดว่า จะใช้เม็ดเงินประมาณ 10 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบนี้ให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และหากแนวคิดนี้มีประสิทธิภาพจริง รายการกว่า 10 รายการที่อยู่ในเครือ จะนำโมเดลนี้เข้าไปสนับสนุน แต่ขึ้นอยู่กับรูปแบบรายการที่นำเสนอด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และการที่บริษัทหันมาพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้ จะทำให้ก้าวทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทันเวลา อีกทั้งยังช่วยให้สามารถต่อยอดคอนเท้นท์ไปสู่ช่องการการสื่อสารในรูปแบบอื่นได้ต่อไป รวมถึงไปสู่ตลาดระดับต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ส่วนด้านเอเจนซี่โฆษณาก็ได้รับผลประโยชน์ และพอใจกับโมเดลนี้ที่ทางเจเอสแอลได้นำไปเสนอบ้างแล้วเช่นกัน
นายกฤษณัน กล่าวต่อว่า สำหรับปีหน้า บริษัทยังเดินหน้าผลิตคอนเทนต์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นละคร และ มิวสิกบิซิเนส เพื่อให้สอดรับความเป็น โกลบอลมีเดีย ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เชื่อว่า ในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้นได้อีก จากภาพรวมรายได้ในปีนี้ มั่นใจว่า จะยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรือมีรายได้ราว 1,000 กว่าล้านบาท จากปีก่อนที่ปิดรายได้ไปกว่า 800 ล้านบาท
