ปธ.บอร์ดบริหาร “ทีจี” มั่นใจปี 52 มีกำไรแน่ ยันคุมต้นทุนค่าเสื่อมได้ที่ระดับ 2.5-3.0 หมื่นล้าน ตามเป้าหมายที่วางไว้ คาด สรุปแผนเพิ่มทุนเดือน ธ.ค.นี้ ลั่นสิ้นปีนี้ แผนปรับฝูงบิน ต้องมีข้อสรุป
นายวัลลภ พุกกะณะสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กล่าวถึงความคืบหน้าในการบริหารงานและแก้ไขปัญหาการขาดทุน โดยระบุว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิ เนื่องจากเป้าหมายกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม(EBITDA) ที่ 2.5-3 หมื่นล้านบาท เชื่อว่า จะสามารถทำได้ โดยครึ่งปีแรกมี EBITDA จำนวน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าหมายที่จะเห็น EBITDA อยู่ที่ระดับ 4 หมื่นล้านบาท ให้เร็วที่สุด
“เรามีความหวังว่า ถ้าปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ก็หวังว่า จะเห็นการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ถ้าเราทำ EBITDA ได้ 2.5 หมื่นล้านบาทเราก็เห็น bottom line ก็เป็นบวกแล้ว”
สำหรับแผนการเพิ่มทุน ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรรมการผู้อำนวยการใหม่ (DD) ไปศึกษาว่า จะใช้วิธีใดเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันมองว่า ทุนจดทะเบียนของบริษัทต่ำไป เมื่อเทียบกับเป้าหมาย EBITDA ที่ตั้งเป้าว่าจะได้เห็น 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดคาดจะได้ข้อสรุปภายในเดือนธันวาคม 2552 นี้
ส่วนแผนฟื้นฟูธุรกิจในระยะที่สองจะปรับปรุงฝูงบินตามแผน 5 ปี จะปลดระวางเครื่องบินเก่า 14 ลำ และหาทดแทนใหม่ 14 ลำ ตามภาวะธุรกิจการบินในอนาคตที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก ยังไม่ระบุว่าจะเช่าหรือซื้อ แต่ส่วนตัวมองว่า น่าจะใช้วิธีการเช่ามากกว่า
ทั้งนี้ หากไม่นับรวมเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่จะรับมอบ 3 ลำแรกในปลายปี 2555 และอีก 3 ลำในปี 2556 ซึ่งสามารถจุผู้โดยสารได้มากกว่า 500 คน และเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 8 ลำ โดยรับมอบในปีนี้ 6 ลำ และอีก 2 ลำในปีหน้า
“เราวางแผนไว้ว่า ภายใน 5 ปีนี้ น่าจะเอาเครื่องบินเก่าออกประมาณ 14 ลำ และทดแทน 14 ลำเท่ากัน เพราะฉะนั้น การเติบโตจะน้อยมาก อาจไม่ถึง 2-3% โดยในช่วง 5 ปีนี้ และคิดว่า Traffic ก็ยังอ่อนไหวอยู่ เครื่องบินใหม่ที่จะเข้ามาแทนอาจจะลำเล็กหน่อย ฉะนั้น Capacity จะไม่เพิ่มขึ้นจากจำนวนเครื่องบิน แต่จำนวนที่นั่งจะเพิ่มจากเครื่องแอรบัส A380 เสียมากกว่า ดูแล้วก็แทบจะไม่ได้เพิ่ม แต่ก็เหมาะสมกับการตลาดที่เรามีอยู่ ปัจจุบัน”
ปัจจุบัน บริษัทไม่ได้ใช้เครื่องบินเต็มที่ จากที่มีอยู่ 84 ลำ เพราะที่นำมาใช้จริงขณะนี้ประมาณแค่ 60-70 ลำ เท่านั้น
ทั้งนี้ การปลดระวางเครื่องบินเก่าและซื้อทดแทนใหม่ เพื่อลดต้นทุนการใช้น้ำมัน และเตรียมเครื่องบินใหม่ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์ ตามกฎหมายที่สหภาพยุโรป (อียู) ได้กำหนดจะมีผลบังคับใช้ ในปี 2554
“การมีเครื่องบินใหม่ ช่วยให้บริษัทไม่จ่ายค่าน้ำมันเพิ่มมาก และบินเข้าไปอียูที่ควบคุมเรื่องคาร์บอน ที่จะเริ่มปี 2554 แต่เครื่องบินรุ่นใหม่ เราก็ต้องดูเงื่อนไขว่าเราจะเช่าหรือจะซื้อ ผมคิดว่าน่าจะเช่ามากกว่า ขณะนี้ แต่เราก็ต้อง Balance Asset กับ lease ให้ใกล้เคียงกับ ไม่ใช่ว่าเป็นของเราหมด เพราะถ้าซื้อมาก็จะมีเรื่องค่าเสื่อมด้วย เรา plan ว่าจะทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้”
นายวัลลภ ยังกล่าวว่า สำหรับการหาสภาพคล่องในแผนฟื้นฟูระยะที่ 2 บริษัทจะกู้เพิ่ม อีกกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำลังดำเนินการ โดยกองทุนวายุภักษ์ ก็สนใจจะให้บริษัทกู้ด้วย โดยทั้งหมดก็จะยังกู้ในประเทศ ซึ่งคาดว่า จะดำเนินการเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยส่วนหนึ่งรองรับเป็นสภาพคล่องของบริษัท และลงทุนโครงการบางโครงการที่ชะลอไว้ ได้แก่ โครงการระบบสารสนเทศหรือไอที, ฝ่ายช่างที่ต้องมีการปรับปรุงอุปกรณ์ และปรับปรุงอุปกรณ์ภายในเครื่องบิน
“เฟส 2 ดูแล้วต้องการเงินไม่น่าจะเกิน 2-3 หมื่นล้านบาท ถ้าเราระดมทุนได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ สิ้นปีเราก็สบายแล้ว”
ทั้งนี้ บริษัทได้กู้เงินไปแล้วประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างสภาพคล่องได้ครบหมดจากธนาคารในประเทศ ได้แก่ ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.ออมสิน และ ธ.กรุงเทพ มีอายุเงินกู้เฉลี่ย 5-7 ปี ซึ่งส่วนใหญ่นำไปชำระคืนตั๋วเงินระยะสั้นที่ครบกำหนดชำระ