ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดที่ประชุม กนง.ครั้งที่ 6 ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ยังคงใช้นโยบาย ดบ.ในระดับต่ำ ควบคู่ไปกับการเร่งดำเนินการตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อประคับประคอง ศก.ในช่วงที่เหลือของปี 52 โดยมีแนวโน้มที่ กนง.จะมีมติคง ดบ.ไว้ที่ระดับ 1.25%
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ครั้งที่ 6 ของปี ในวันที่ 26 สิงหาคม 2552 นี้ กนง.น่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ไว้ที่ร้อยละ 1.25 ตามเดิม และอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าที่จะมีแนวโน้มยืนที่ระดับดังกล่าวต่อไปได้อย่างน้อยจนถึงในช่วงไตรมาส 2/2553 เนื่องจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจยังคงมีน้ำหนักที่เด่นชัดอยู่มากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ยังมีระดับต่ำและไม่น่าจะเป็นประเด็นที่น่ากังวลในระยะอันใกล้นี้
โดยแม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญในบางภาคส่วนจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2552 และน่าที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในระยะถัดๆ ไป แต่กว่าที่การฟื้นตัวจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนและทั่วถึง คงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น การดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจผ่านการดำเนินนโยบายการเงินที่ระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำ ควบคู่กับการเร่งดำเนินการตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการประคับประคองเศรษฐกิจไทยตลอดระยะที่เหลือของปีนี้
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินไทยนั้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีแนวโน้มยังไม่เปลี่ยนแปลงในระยะอันใกล้ แต่ความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับความต้องการระดมเงินทุนทั้งจากทางการและภาคเอกชนผ่านการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะสำหรับตราสารระยะยาว มีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นในระยะข้างหน้า ในขณะเดียวกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับช่องทางการออมอื่นๆ รวมทั้งเพื่อรักษาฐานเงินทุนและลูกค้าไว้ ธนาคารพาณิชย์ก็คงจะมีแนวโน้มทยอยนำเสนอโครงการเงินออมพิเศษที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำทั่วไปออกมาเป็นระยะๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้เช่นกัน
ส่วนประเด็นการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เบื้องต้นกำหนดวงเงินไว้ที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยจะเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อยในวันที่ 3-7 กันยายน 2552 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า คงจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อสภาพคล่องในระบบ เนื่องจาก ธปท.น่าจะนำเงินที่ได้จากการออกพันธบัตรดังกล่าวไปรองรับการครบกำหนดของพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ประเภทอายุ 7 ปี จำนวน 54,000 ล้านบาท ที่กระทรวงการคลังได้ออกตามแผนการบริหารจัดการหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในปี 2545 (FIDF3) ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 กันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.มีการขยายวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนที่อาจมีมากเกินกว่า 50,000 ล้านบาท ตามวงเงินที่กำหนดไว้ในเบื้องต้น ก็คงจะต้องติดตามว่า ธปท.จะมีการจัดสรรเงินส่วนที่ได้รับจากการขยายวงเงินเพิ่มเติมดังกล่าว ตลอดจนจากแผนการออกพันธบัตรในระยะต่อๆ ไป ไปเพื่อการใด เพราะวัตถุประสงค์ของการใช้เงินในส่วนนั้นๆ จะเป็นปัจจัยที่กำหนดผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบ