ผ่านครึ่งปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมๆ กับบรรยากาศการลงทุน ที่ยังอบอวลไปด้วยความผันผวน แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศ แต่ด้วยความที่ยังเป็นเพียงการคาดการณ์ ยังไม่มีอะไรชัดเจน จึงทำให้ภาพรวมยังต้องลุ้นกันต่อ
แต่หากจะพูดถึงภาพรวมของธุรกิจกองทุนรวมแล้ว ดูจะสวนกระแสเล็กน้อย เพราะจบครึ่งแรกของปี 2552 ธุรกิจกองทุนรวมมีการขยายตัวของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ถึง 13.76% จากสิ้นปี 2551โดยได้รับแรงหนุนจากการแสวงหาช่องทางการลงทุนของผู้ออม ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในรูปแบบที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นจากระดับ ณ สิ้นปี 2551
แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าธุรกิจกองทุนรวมคงจะเผชิญความท้าทายทั้งจากการแข่งขันและช่องทางการออมต่างๆที่มีมากขึ้น นำโดย พันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล และหุ้นกู้ภาคเอกชน ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาว นอกจากนี้ บลจ.คงจะต้องเตรียมหาผลิตภัณฑ์การลงทุนสำหรับลูกค้าเพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป รวมทั้งเป็นทางเลือกและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดกองทุนรวมมากยิ่งขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจกองทุนรวมในช่วงที่เหลือของปี 2552 ว่า จะเป็นโอกาสของธุรกิจกองทุนรวมในการเสนอขายกองทุนหลายประเภท โดยอาศัยจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั่นเอง
โดยปัจจัยที่คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ที่สำคัญได้แก่
- การเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ในช่วงกลางเดือน ก.ค. 2552...อาจทำให้บลจ. ต่างแข่งขันกันดุเดือดยิ่งขึ้น ในการหาผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ๆ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนของผู้ออมในระบบ ในขณะที่ผู้ออมหรือนักลงทุนมีทางเลือกที่ค่อนข้างหลากหลายมากขึ้น หลังการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งของรัฐบาลที่ออกไปแล้วจำนวนรวม 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้จุดชนวนให้สถาบันการเงินทยอยนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินออมระยะยาวที่ให้อัตราดอกเบี้ยจูงใจ ขณะที่ หุ้นกู้ภาคเอกชนก็มีรอเข้าตลาดอยู่จำนวนมาก ซึ่งการเคลื่อนย้ายเงินออมไปยังทางเลือกต่างๆ ที่หลากหลายนั้น อาจส่งผลต่อกระแสเงินลงทุนในกองทุนรวม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่ากองทุนรวมต่างๆ สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ประเภทใดออกมาเพื่อดึงดูดผู้ออมในยามนี้
- เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังคงต้องเผชิญความไม่แน่นอนหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ตลอดจนสถานการณ์การเมืองในประเทศและเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพย์สินของบลจ. และอาจทำให้การสร้างผลตอบแทนของกองทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไม่สูงเท่ากับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
- แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย จากการคาดการณ์ของตลาดและนักวิเคราะห์ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยในระยะถัดไป จึงทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะสูงขึ้น จากโอกาสการขยับขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยนั้น จากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ ทำให้คาดว่า กนง.น่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายที่ระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปจนถึงสิ้นปี 2552 เป็นอย่างน้อย ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้นำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบใหม่นี้ ได้เริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อจูงใจผู้ออมมากยิ่งขึ้นแล้ว ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กระทบต่อเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดกองทุนรวม
- ความผันผวนของตลาดหุ้น ทั้งนี้แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนจากกระแสความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งคงจะเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในโลก กระนั้นก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป อาจปรับขึ้นได้แต่ด้วยความผันผวนจากแรงขายทำกำไรเป็นระยะๆ เนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 30% แล้ว จากช่วงสิ้นปี 2551 นอกจากนี้ ยังรวมถึงผลของการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจหลักของโลกและไทยว่าจะออกมาตามที่ได้คาดหวังกันไว้มากน้อยเพียงใด โดยหากเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ ยังบ่งชี้ถึงภาวะไร้เสถียรภาพ ความผันผวนของตลาดหุ้นก็อาจกดดันต่อมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นได้ ขณะที่หากเครื่องชี้เศรษฐกิจบ่งชี้ถึงความต่อเนื่องของการฟื้นตัว ก็น่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักมากขึ้น อันจะส่งผลดีต่อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นได้
- การครบกำหนดอายุไถ่ถอนของกองทุนบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่บลจ.ต่างๆ เสนอขายมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 เป็นต้นมา โดยคาดว่าในช่วงปลายปีนี้ กองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้จะครบกำหนดอายุไถ่ถอนเป็นจำนวนมาก (ประเภท 6 เดือน) ทั้งนี้หากการนำเสนอกองทุนใหม่ๆ ของบลจ. ไม่สามารถชดเชยการครบกำหนดอายุไถ่ถอนของกองทุนดังกล่าวได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็อาจมีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
...ทั้งนี้ จากการปรับตัวที่ดีขึ้นของเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ อาจทำให้บรรดาบลจ. เริ่มสรรหาผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ บลจ.อาจนำเสนอผลตอบแทนของกองทุนในอัตราที่เป็นที่น่าพอใจ เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุน เพื่อเป็นการดึงดูดผู้ออมหรือนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดกองทุนรวมมากขึ้น โดยกองทุนรวมที่คาดว่าบลจ. อาจเสนอขายในช่วงที่เหลือของปีนี้ ได้แก่
กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นของตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ราคาสินทรัพย์หลายประเภทในตลาดโลกเริ่มพุ่งทะยาน ตลอดจนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบลจ. ในการกลับเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศอีกครั้ง
กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน บลจ. หลายแห่งเริ่มเสนอขายกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2552 เนื่องจากสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในระดับที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในประเภทอายุเดียวกัน อาทิ หุ้นกู้ในท้องตลาด เรทติ้ง AAA อายุ 3-5 ปี จ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.9% หรือ หุ้นกู้เรทติ้ง BBB จ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ย 4.6% ต่อปี ซึ่งจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป อาจช่วยหนุนการออกหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจด้วย
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่นักลงทุนจะได้รับแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบลจ.ในการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อกองทุนทั้งสองประเภทในช่วงที่ราคาหุ้นปรับฐานลงไป ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยอาจปรับฐานในช่วงไตรมาส 3/2552 เนื่องจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะเดียวกัน บลจ.ต่างๆ อาจอาศัยจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในช่วงปลายปีจากโอกาสการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้
กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นปันผล ทั้งนี้ บลจ. อาจนำเสนอกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นปันผลให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในจังหวะที่พื้นฐานเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยกองทุนดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน นอกจากนี้แม้ว่าอาจจะมีการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยลงไปบ้าง แต่ผู้ลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเงินปันผล ก็ยังจะได้รับรายได้ที่สม่ำเสมอจากเงินปันผล ซึ่งจะมีข้อดีมากกว่าการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นทั่วไปที่ผู้ลงทุนคาดหวังว่าจะได้กำไรจาก Capital Gain เพียงอย่างเดียว