จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศต้องเผชิญกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีในบางประเทศถึงขึ้นติดลบกันเป็นแถว ซึ่งในประเทศไทยเอง ก็ไม่อาจที่จะหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าวไปได้ แต่ในขณะเดียวกันระยะเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมา ในด้านการลงทุนเริ่มพบว่ามีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินเหล่านี้ ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้ดัชนีหลักทรัพย์ ณ ปัจจุบัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียง 600 จุด
แม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวไปตามตลาดโลก ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่การที่นักลงทุนได้โยกเม็ดเงินมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ก็ทำให้นักลงทุนบางส่วนมีความมั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ตามกลุ่มนักลงทุน จะชัดเจนว่านักลงทุนต่างประเทศได้เข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 6 เดือนแรกของปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน แล้วจำนวน 20,193.98 ล้านบาท ซึ่งพบว่าในทางกลับกันสถาบันในประเทศมีการขายสุทธิสูงถึง 14,483.30 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไป ที่ขายสุทธิ 5,710.69 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2552 เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนทั่วไปมีการซื้อขายหลักทรัพย์มีวอลุ่มสูงถึง 1 ล้านล้านบาททั้งการซื้อและการขายหลักทรัพย์
ขณะเดียวกัน เฉพาะภายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศทำการซื้อสุทธิถึง13,834.69 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 7,979.26 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันซื้อขายสุทธิ 5,855.43 ล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจากเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ขณะที่กลุ่มนักลงทุนทั่วไปมีการซื้อขายเก็งกำไรหุ้นจำนวนมาก และในกลุ่มสถาบัน พอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์มีการขายหุ้นเพื่อปิดบัญชีให้ผลดำเนินงานในไตรมาสที่2/2552 เติบโตหรือพลิกจากขาดทุนไตรมาส 1ที่ผ่านมา ขณะที่บรรดากองทุน มีการปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงไปเช่นกัน
นอกจากนี้ เมื่อดูค่าสถิติสำคัญและผลดำเนินงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 จะพบว่า ในรอบ 3 เดือน ล่าสุด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลง+35.54% ขณะที่ในรอบ 6 เดือนล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลง +33.75% และตั้งแต่วันที่ ม.ค.2551 (Tear to Date) มีการเปลี่ยนแปลง+32.79% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เกตแคป)อยู่ที่ 4,742,529.80 ล้านบาท อัตราหมุนเวียนปริมาณการซื้อขาย (YTD) อยู่ที่58.41% P/E ในอัตรา 20.03 เท่า ขณะที่ P/BV อยู่ในระดับ 1.30 เท่า และอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.66% โดยตั้งแต่เดือนมกราคมพฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีปรับสูงสุด 561.41 จุดต่ำสุด 411.27 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 12,848.27 ล้านบาท
แม้เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี จะสูงถึง 20,000 ล้านบาทก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ก็จะถือได้ว่าเม็ดเงินดังกล่าวยังไม่สูงมากนัก ...
...จากการสำรวจความเห็นของผู้จัดการกองทุนของ "ASTVผู้จัดการกองทุนรวม" ได้ข้อสรุปว่า การที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในเอเชียนั้น สาเหตุหลักน่าจะมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอเมริกาและยุโรป นักลงทุนจึงเกิดการคาดหวังว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวเร็วขึ้น และมีการเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในช่วงปลายไตรมาส 2 เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุน มาจากการโยกเงินออกจากการลงทุนในพันธบัตรหลังจากที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง ประกอบกับมุมมองตลาดหุ้นดีขึ้นนักลงทุนจึงโยกเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน
"เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในขณะนี้ มีทั้งแบบที่เข้ามาลงทุนในระยะสั้นและในระยะยาว รวมทั้งยังมีนักลงทุนรายย่อยที่ยังรอกลับเข้ามาลงทุนอยู่อีก โดยที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มนี้ไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เพราะยังไม่มีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือไม่ แต่เมื่อมีทั้งปัจจัยในประเทศและปัจจัยภายนอกเกิดขึ้นทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้พี/อีตลาดหุ้นในประเทศไทยมีราคาถูกเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการลงทุนในระยะยาว"
ขณะเดียวกัน ปัจจัยหลักที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามคือประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ที่มีมาตรการต่างๆเข้ามาเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ตัวเลขโดยรวมนั้นออกมาดี โดยคาดว่าจีดีพีของจีนจะโตขึ้นประมาณ 8% ซึ่งหากจีนฟื้นตัวเร็ว ประเทศต่างๆก็จะได้รับอานิสงส์ให้ฟื้นตัวตามไปด้วย เพราะจีนเป็นประเทศที่ใหญ่มีประชากรเยอะ
"หากตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจจะทำให้นักลงทุนมีการขายหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรและนำเงินไปลงทุนในพันธบัตร โดยในระยะปานกลางตลาดหุ้นยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ แต่ตลาดหุ้นระยะสั้นยังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน เนื่องจากยังรอข่าวดีอื่นๆเพื่อให้หุ้นขึ้น"
ส่วนความน่าสนใจของสินค้าโภคภัณฑ์ พบว่า ราคาสินค้าในกลุ่มนี้ได้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจขณะนี้ยังไม่ฟื้นมากนัก ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาจะมองถึงการลงทุนและการทำกำไรในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า โดยหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจะส่งผลให้ราคาของคอมมอดิตีปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม รวมไปถึงการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันในอีก 3 ปีข้างหน้าราคาจะอยู่ที่ 95 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้นักลงทุนมีความหวังเกิดขึ้น
ด้านการลงทุนในทองคำ นักลงทุนบางกลุ่มไม่กล้าที่จะถือเงินสดไว้กับตัวจึงนำเงินเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์แทน เพราะกังวลในเรื่องการเสื่อมค่าของเงิน เนื่องจากนักลงทุนมองว่าเงินนั้นเป็นเพียงแผ่นกระดาษเท่านั้น ขณะที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าและมีความต้องการจากนักลงทุนทุกชาติอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนจึงนิยมลงทุนในทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง
สำหรับ ไตรมาส 3/2552 ผู้จัดการกองทุนคาดว่า นักลงทุนจะมีความมั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจมากพอสมควร จากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่สะท้อนให้นักลงทุนได้รู้ว่า เศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ โดยนักลงทุนจะต้องติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า มีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร และเป็นไปตามระบบเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะถ้าหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว บริษัทต่างๆ เหล่านี้ ก็จะมีกำไรและฟื้นตัวตาม
แต่ในทางกลับกัน หากกำไรของบริษัทหดตัวก็จะส่งผลลบต่อระบบเศรษฐกิจด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นในไตรมาสนี้ จะนิ่งๆ หากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้นักลงทุนมีการเทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร จึงอาจจะทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับลดลงเล็กน้อยเพื่อปรับฐาน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปซื้อหุ้นราคาถูกมาเก็บไว้ เพื่อทำกำไรต่อไป เนื่องจาก ตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 4 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมกองทุนรวม ผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ของนักลงทุนเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอีกด้วย ขณะที่ การลงทุนในตราสารหนี้ นักลงทุนจะต้องรอดูรายละเอียดของพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกมา ถึงผลตอบแทนและอัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนด้วย
ธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัดในฐานะเชี่ยวชาญด้านการลงทุน ได้กล่าวถึงเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศว่า ขณะนี้เม็ดเงินในตลาดหุ้นแทบ 100% เป็นเม็ดเงินระยะสั้นจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหากราคาหุ้นที่ถือไว้ถึงกรอบหรือราคาที่กำหนดแรงเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรก็จะเกิดขึ้น และเม็ดเงินระยะสั้นส่วนใหญ่ก็จะไหลออกไป ขณะเดียวกันเม็ดเงินลงทุนระยะยาวก็ยังไม่มีแนวโน้มหรือสัญญาณเข้ามาจึงทำให้จุดนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลและอาจทำให้ดัชนีหุ้นร่วงลงหนัก
"อยากขอเตือนผู้ลงทุนถึงเม็ดที่ไหลเข้ามาว่า ยังเป็นเม็ดเงินระยะสั้นที่พร้อมจะโยกย้ายออกไปจากประเทศได้ในทันที โดยสาเหตุมาจากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียกระเตื้องขึ้น แต่ในไตรมาส 3 นี้มีโอกาสสูงที่ดัชนีจะปรับลดลงมาแรง ตามแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ซื้อสุทธิสะสมไว้ร่วม 2 หมื่นล้านบาท"
สำหรับมุมมองถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ของสถาบันในประเทศช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เขากล่าวว่า บรรดากองทุนต่าๆง โดยส่วนตัวเชื่อว่า ผู้จัดการกองทุนรู้ดีว่าหุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่ดีนัก และด้วยนโยบายที่ต้องบริหารสินทรัพย์ให้มีความมั่งคั่งและมีผลตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้า ดังนั้น เม็ดเงินบางส่วนจะถูกโยกย้ายไปลงทุนในแหล่งสินทรัพย์อื่น และแม้ช่วงนี้ผลตอบแทนของตราสารหนี้จะลดลง แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่า จึงคาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลออกจากหุ้น กลับไปที่บอนด์ และทองคำเพิ่มขึ้น ...บทสรุปของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนขณะนี้ จะอยู่สั้นหรือยาวนั้น คงไม่สามารถหาคำตอบได้แน่ชัดนัก ดังนั้น นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะทำให้เราสมหวังและผิดหวังได้ในคราวเดียวกัน...