xs
xsm
sm
md
lg

คงดอกเบี้ย...หุ้น-บอนด์ไม่สะเทือน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2552 ที่มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน) อยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกหลังจากที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องติดต่อกัน 4 ครั้งในรอบ 5 เดือน

โดยในแถลงการณ์หลังการประชุมของ กนง. กล่าวว่า ที่มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่1.25% เนื่องจากมองว่ายังคงจะเป็นระดับที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่ปิดโอกาสในการผ่อนคลายนโยบายการเงินลงอีกในอนาคต ถ้ามีโอกาสเหมาะสมที่จะกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง

ขณะที่ได้ลดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในระดับโลก ว่าเริ่มกลับเข้าสู่ระดับเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ภาพเศรษฐกิจในประเทศยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมองว่าแรงกระตุ้นจากนโยบายการคลังเริ่มมีความชัดเจนและออกประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีความกังวลต่อทิศทางการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆยังคงมีอยู่สูง โดยเฉพาะปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ที่อาจจะส่งผลให้การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขาดความต่อเนื่อง

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย...ประเมินภาพโดยรวมของตลาดการเงินในประเทศ ยังคงถือได้ว่าไม่ได้รับปัจจัยลบทางจิตวิทยามากนัก จากการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยของ กนง. เนื่องจากการคาดการณ์ของตลาดในช่วงก่อนหน้าต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะยังคงไม่ส่งผลต่อระดับอัตราดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์เอกชน โดยจากการที่ กนง. มีการตัดสินใจคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.25%ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดคาดจากการคาดการณ์ของตลาดโดยรวมเล็กน้อย

แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในภาพรวมของตลาดทางการเงิน ทั้งในด้านของตลาดหุ้นหรือในด้านของตลาดตราสารหนี้ ไม่ได้ให้น้ำหนักกับการตัดสินใจในด้านของการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้มากนัก เนื่องจากการส่งผ่านการตัดสินใจในด้านของการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ไปสู่ระดับอัตราดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนหลังที่ผ่านมาที่ระดับอัตราดอกเบี้ยในตลาดค่อนข้างที่จะตอบสนองต่อการปรับลดระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยมาก ดังนั้น ในภาพรวมแล้ว การเคลื่อนไหวของทั้งตลาดหุ้น และรวมไปถึงในตลาดตราสารหนี้ จึงค่อนข้างที่จะเป็นการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยในด้านของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี ในช่วงปิดตลาดวันที่20 พ.ค. 2552 มีการเปลี่ยนแปลงจากระดับในวันก่อนหน้า เพียงแค่ 5 bps เท่านั้นซึ่งทำให้โดยรวมแล้ว SCRI เชื่อว่าเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ส่งผลให้ทาง กนง. จึงมีการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากการส่งผ่านนโยบายการเงินที่ยังคงขาดประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้จะเกิดความสูญเปล่าหากยังคงมีการดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าทิศทางของระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย น่าจะเป็นการทรงตัวอยู่ในระดับ 1.0-1.25% ต่อเนื่องอย่างน้อยไปจนถึงช่วงปลายปี โดยหลังจากที่ทาง กนง. มีการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ส่งผลให้ SCRI มองว่าภาพโดยรวมของระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะเป็นการลงไปเคลื่อนไหวใกล้กับระดับต่ำสุดของปี 2552แล้ว เนื่องจากในปัจจุบันในด้านของภาพรวมตลาดการเงิน ไม่ได้ให้น้ำหนักกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกมากนัก เนื่องจากมองว่าปัจจัยที่กำหนดระดับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกจึงเป็นการส่งสัญญาณที่ค่อนข้างจะสูญเปล่า

ดังนั้นในมุมมองของ SCRIแล้วนั้นทาง กนง. จึงยังคงไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกแต่อย่างไรก็ตามถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติขึ้นในตลาดการเงิน รวมไปถึงภาคเศรษฐกิจจริงขึ้นอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่จะส่งผลให้ทาง กนง. อาจจะมีความจำเป็นต้องปรับลดระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก แต่อย่างไรก็ตามทิศทางการปรับลดระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะเหลืออีกไม่มากนัก เนื่องจากโดยแรงกดดันทั้งจากการคาดการณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ที่มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปี รวมไปถึงระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลงไปอยู่ทีระดับที่ต่ำมากแล้ว โดยในกรณีนี้ SCRI ก็ยังคงมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลงไปที่ระดับ 1.0% เท่านั้น
นายจุมพล สายมาลา
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% นั้น ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจของไทยแม้ว่า ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงจะยังไม่ฟื้นตัวสู่ภาวะปกติก็ตาม แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณไปในทิศทางที่ดีแม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่แท้จริงจะยังไม่ฟื้ตัวก็ตาม รวมทั้งจากเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลที่ดีต่อเศรษฐกิจภายในของประเทศตนเอง ที่ทำให้สามารถมีการพึ่งพาตนเองได้

เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้รับผลดีจากปัจจัยบวกจากการที่หลายประเทศดำเนินการในการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลให้ตลาดหุ้นของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากตามตลาดหุ้นในต่างประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินลงทุนจากเดิมที่ลงทุนในตราสารหนี้กับมันนี่มาร์เก็ต มาลงทุนในหุ้นกันเพิ่มมากขึ้น ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้นั้นหากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยไม่ลดลงแล้ว นักลงทุนอาจเลือกลงทุนตราสารหนี้ที่มีอายุสั้นแทน

ทั้งนี้มองว่า ในระยะต่อจากนี้ไปมีโอกาสที่น้อยมากที่ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาก เพราะมีตลาดหุ้นได้ส่งสัญาณล่วงหน้าแล้วว่าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวในอีกประมาณ 6 เดือนข้างหน้าเป็นอย่างน้อย แต่หากต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาคาดว่า กนง.คงลดอัตราดอกเบี้ยลงมาประมาณ 0.25%
กำลังโหลดความคิดเห็น