ซีเอ็มจี เลื่อนแผนการเติบโตก้าวกระโดด 3 ปี โตพรวด 15% เป็นเริ่มปีหน้าแทน เหตุเศรษฐกิจปีนี้ไม่ดี สินค้าฟุ่มเฟือยได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ยอมรับอาจฟาดหางใส่ผลประกอบการปีนี้พลาดเป้าโตแค่ 10% พร้อมปรับกลยุทธ์อัดกิจกรรม ล่าสุด ปัดฝุ่นภาพลักษณ์แบรนด์เอสแฟร์ ชูความเป็นอินเตอร์แบรนด์ หวังลุยต่างประเทศ
นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป จำกัด ในเครือเซ็นทรัล ผู้นำเข้าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และสินค้าอิเลคทรอนิกส์ เปิดเผยว่า นโยบายซีเอ็มจีเดิมที่วางทิศทางการเติบโตอย่างก้าวกระโดด 3 ปีข้างหน้านี้ หรือระหว่างปี 2552-2554 ด้วยการมีรายได้โต 15% ต่อปี คงต้องชะลอเป้าหมายการเติบโตใหม่เป็นปี 2553 แทน เนื่องจากในปีนี้ธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่าย ดังนั้นคาดว่าปีนี้ผลประกอบการคงโต 10% หรือ 5,600 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความกังวลปัจจัยด้านการเมือง และปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ซึ่งหากไม่มี 2 ปัจจัยดังกล่าว คาดว่าปลายไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นดีขึ้น สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รายได้บริษัทเติบโต 6% หรือ 3,000 ล้านบาท โดยมีกำไรลดลง 5-10% จากการทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ที่ถี่ขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 20% ส่วนกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ไลฟ์สไตล์ โต 5-10%
“หากประเทศไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าเสื้อผ้า เครื่องหนัง ฯลฯ จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาชอปปิ้งได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับสิงคโปร์ ที่มีการลดภาษีนำเข้าสินค้าแฟชั่นต่างๆ” นายพิชัย กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจากการมีสินค้ากว่า 20 แบรนด์ มุ่งเพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรม เน้นสินค้าที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ มีเอกลักษณ์โดดเด่น การนำเสนอสินค้ารุ่นลิมิเต็ด หรือกระทั่งการซอยเซกเมนต์เตชั่นตามช่องทางจัดจำหน่ายและกำลังซื้อของผู้บริโภค ภายใต้การใช้งบตลาด 3% ของยอดขาย หรือกว่า 160 ล้านบาท
***ปรับภาพลักษณ์เอสแฟร์
ล่าสุด เปิดตัวการปรับภาพลักษณ์ใหม่แบรนด์ “เอสแฟร์” เสื้อเชิ้ตบุรุษ หลังจากทยอยปรับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นการตัดเย็บเข้ารูปและสไตล์ลำลอง เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่อายุ 25-35 ปี พร้อมกันนี้ยังได้จับมือร่วมกับคอตตอนยูเอสเอ จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และเน้นเซกเมนต์เตชั่นเสื้อผ้าตามช่องทางจำหน่ายกำลังซื้อผู้บริโภค
โดยปีนี้วางงบการตลาด 7% ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาใช้ 6% และเตรียมปรับปรุงชอปเพิ่ม 10-15 แห่ง ในปีหน้านี้ สำหรับยอดขายเสื้อผ้าเอสแฟร์ ในช่วงครึ่งปีแรกโต 7-8% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะต้องเติบโตมากกว่า 10% โดยในช่วงเดือนเมษายนยอดขายสะดุด หลังจากเกิดการจลาจลในกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ยอดขายครึ่งปีหลังจะเติบโต 12% และผลักดันให้ทั้งปีโต 10% หรือกว่า 900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าโต 15% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งทอปทรีในตลาดเสื้อเชิ้ตผู้ชาย ครองส่วนแบ่งกว่า 20% จากมูลค่า 4,500 ล้านบาท
นายพิชัย กล่าวว่า การปรับภาพลักษณ์เสื้อผ้าเอสแฟร์ เพื่อทำให้ภาพมีความเป็นอินเตอร์มากขึ้นขยายตลาดต่างประเทศได้งายขึ้น ขณะนี้ศึกษาตลาดอินเดีย จีน และเวียดนาม โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาการไปในรูปแบบแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายหรือการหาพาร์ทเนอร์ร่วมดำเนินธุรกิจ จากปัจจุบันส่งออก 8-9 ประเทศ ได้แก่ ดูไบ สิงคโปร์ มัลดีฟส์ ลาว พม่า ฯลฯ และในอนาคตขยายตลาดไปยังยุโรป อเมริกา สิ้นปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 250 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาทำได้ 150 ล้านบาท
นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป จำกัด ในเครือเซ็นทรัล ผู้นำเข้าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และสินค้าอิเลคทรอนิกส์ เปิดเผยว่า นโยบายซีเอ็มจีเดิมที่วางทิศทางการเติบโตอย่างก้าวกระโดด 3 ปีข้างหน้านี้ หรือระหว่างปี 2552-2554 ด้วยการมีรายได้โต 15% ต่อปี คงต้องชะลอเป้าหมายการเติบโตใหม่เป็นปี 2553 แทน เนื่องจากในปีนี้ธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่าย ดังนั้นคาดว่าปีนี้ผลประกอบการคงโต 10% หรือ 5,600 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความกังวลปัจจัยด้านการเมือง และปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ซึ่งหากไม่มี 2 ปัจจัยดังกล่าว คาดว่าปลายไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นดีขึ้น สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รายได้บริษัทเติบโต 6% หรือ 3,000 ล้านบาท โดยมีกำไรลดลง 5-10% จากการทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ที่ถี่ขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 20% ส่วนกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ไลฟ์สไตล์ โต 5-10%
“หากประเทศไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าเสื้อผ้า เครื่องหนัง ฯลฯ จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาชอปปิ้งได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับสิงคโปร์ ที่มีการลดภาษีนำเข้าสินค้าแฟชั่นต่างๆ” นายพิชัย กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจากการมีสินค้ากว่า 20 แบรนด์ มุ่งเพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรม เน้นสินค้าที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ มีเอกลักษณ์โดดเด่น การนำเสนอสินค้ารุ่นลิมิเต็ด หรือกระทั่งการซอยเซกเมนต์เตชั่นตามช่องทางจัดจำหน่ายและกำลังซื้อของผู้บริโภค ภายใต้การใช้งบตลาด 3% ของยอดขาย หรือกว่า 160 ล้านบาท
***ปรับภาพลักษณ์เอสแฟร์
ล่าสุด เปิดตัวการปรับภาพลักษณ์ใหม่แบรนด์ “เอสแฟร์” เสื้อเชิ้ตบุรุษ หลังจากทยอยปรับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นการตัดเย็บเข้ารูปและสไตล์ลำลอง เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่อายุ 25-35 ปี พร้อมกันนี้ยังได้จับมือร่วมกับคอตตอนยูเอสเอ จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และเน้นเซกเมนต์เตชั่นเสื้อผ้าตามช่องทางจำหน่ายกำลังซื้อผู้บริโภค
โดยปีนี้วางงบการตลาด 7% ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาใช้ 6% และเตรียมปรับปรุงชอปเพิ่ม 10-15 แห่ง ในปีหน้านี้ สำหรับยอดขายเสื้อผ้าเอสแฟร์ ในช่วงครึ่งปีแรกโต 7-8% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะต้องเติบโตมากกว่า 10% โดยในช่วงเดือนเมษายนยอดขายสะดุด หลังจากเกิดการจลาจลในกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ยอดขายครึ่งปีหลังจะเติบโต 12% และผลักดันให้ทั้งปีโต 10% หรือกว่า 900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าโต 15% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งทอปทรีในตลาดเสื้อเชิ้ตผู้ชาย ครองส่วนแบ่งกว่า 20% จากมูลค่า 4,500 ล้านบาท
นายพิชัย กล่าวว่า การปรับภาพลักษณ์เสื้อผ้าเอสแฟร์ เพื่อทำให้ภาพมีความเป็นอินเตอร์มากขึ้นขยายตลาดต่างประเทศได้งายขึ้น ขณะนี้ศึกษาตลาดอินเดีย จีน และเวียดนาม โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาการไปในรูปแบบแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายหรือการหาพาร์ทเนอร์ร่วมดำเนินธุรกิจ จากปัจจุบันส่งออก 8-9 ประเทศ ได้แก่ ดูไบ สิงคโปร์ มัลดีฟส์ ลาว พม่า ฯลฯ และในอนาคตขยายตลาดไปยังยุโรป อเมริกา สิ้นปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 250 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาทำได้ 150 ล้านบาท