แปซิฟิคสตาร์ฯ เชื่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี กำลังซื้อเริ่มกลับมา เล็งลงทุนเพิ่ม 2 โครงการกทม.-ภูเก็ต มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท อัดโปรโมชันช่วยลูกค้านักลงทุน-ผู้อยู่อาศัย ซื้อคอนโดฯรับประกันรายได้ 6% นาน 2 ปี แถมจัดแพกเกจสินเชื่อ 100% ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี
นายอุรเสฏฐ นาวานุเคราะห์ รองผู้อำนวยการด้านบริหารสินทรัพย์ บริษัทแปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารกองทุนกลุ่มแปซิฟิค สตาร์ และลงทุนด้านอสังหาฯในไทย เปิดเผยว่า จากแนวโน้มตลาดอสังหาฯในช่วงเดือนพ.ค.นี้ มีลูกค้าเข้าชมโครงการและยอดขายเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้จัดงานออกบูทที่สยามพารากอน ปรากฏว่าขายได้ 8 ยูนิต ทำให้มีความเชื่อมั่นกำลังซื้อผู้บริโภคมากขึ้น
และเพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ทางบริษัทมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาโครงการเพิ่มอีก 2 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินในย่านซีบีดี กรุงเทพ และที่ภูเก็ต มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท หากตกลงซื้อที่ดินได้ก็จะเริ่มพัฒนาภายในปีนี้ โดยบริษัทมีเป้าหมายการลงทุนมูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท/ปี แต่ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดีจึง
นายอุรเสฏฐ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย 2 โครงการได้แก่ โครงการสาทร การ์เด้นท์ ปัจจุบันเหลือขายกว่า 100 ยูนิต และโครงการ เอท ทองหล่อ เรสซิเด้นส์ซ เหลือขายประมาณ 60 ยูนิต โดยก่อนหน้านี้ ได้จัดแคมเปญสำหรับลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า โดยการันตีผลตอบแทน 6% /ปี นาน 2 ปี พร้อมทั้งจัดหาผู้เช่าให้ ล่าสุดได้จัดห้องชุดจำนวน 30 ยูนิต ให้ลูกค้าสามารถวางเงินจองเพียง 1 แสนบาทและดาวน์สูงสุดไม่เกิน 5% พร้อมจัดหาวงเงินกู้สูงสุด 100% จากสถาบันการเงินพันธมิตร
นอกจากนี้ ลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อยังได้รับผลตอบแทนยูนิตไม่น้อยกว่า 60,000-70,000 บาท/ยูนิตอีกด้วย และบริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มผลตอบแทน สำหรับลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อ เนื่องจากพบว่า ได้ผลตอบรับที่ดีสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 20 ยูนิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนความคืบหน้าโครงการสาทร การ์เด้นท์ ที่บริษัทได้ซื้อโครงการมาจำนวน 350 ยูนิต จากทั้งหมด 580 ยูนิต มีจำนวน 2 อาคารเชื่อมติดกัน สูง 41 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท โดยมียอดขายแล้วกว่า 60% และมียอดโอนกว่า 70 ยูนิต ส่วนจำนวนยูนิตที่เหลือคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับนักลงทุนชาวเบลเยี่ยม ในการเสนอขายห้องแบบเพนท์เฮาส์ จำนวน 7 ยูนิต จากทั้งหมด 8 ยูนิต แต่ได้ขายไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 ยูนิต คาดว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจาได้ภายในเดือนมิ.ย.52 นี้ โดยสาเหตุที่นักลงทุนชาวเบลเยี่ยมกลุ่มดังกล่าวสนใจซื้อห้องแบบเพนท์เฮาส์ นั้น เพราะมั่นใจว่าหากลงทุนไว้ประมาณ 2 ปี เชื่อว่าตลาดจะกลับคืนมาอย่างแน่นอน เมื่อถึง ณ วันนั้นก็สามารถปล่อยขายต่อทำให้มีผลกำไรกลับคืนมาได้
อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวบริษัทได้ตั้งเป้าปิดการขายในกลางปี 52 นี้ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง และการเมืองยังไม่นิ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้องเลื่อนปิดการขายเป็นในกลางปี 53
“ในช่วงปี 51 สัดส่วนลูกค้าคนไทย-ต่างชาติ มีประมาณ 50:50 แต่ในปี 52 นี้สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติลดลงอย่างเห็นได้ชัดเหลือเพียง 20% ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ”
สำหรับยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จาก 2 โครงการดังกล่าวประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจากโครงการสาทร การ์เด้นท์ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และ เอท ทองหล่อ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีหน้า
ส่วนโครงการ รึทึ่ม รัชดา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% จากทั้งหมด 881 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 54 เป็นต้นไป, ส่วนโครงการที่สาทร 12 นั้นคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในปีนี้
นายอุรเสฏฐ นาวานุเคราะห์ รองผู้อำนวยการด้านบริหารสินทรัพย์ บริษัทแปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารกองทุนกลุ่มแปซิฟิค สตาร์ และลงทุนด้านอสังหาฯในไทย เปิดเผยว่า จากแนวโน้มตลาดอสังหาฯในช่วงเดือนพ.ค.นี้ มีลูกค้าเข้าชมโครงการและยอดขายเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้จัดงานออกบูทที่สยามพารากอน ปรากฏว่าขายได้ 8 ยูนิต ทำให้มีความเชื่อมั่นกำลังซื้อผู้บริโภคมากขึ้น
และเพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ทางบริษัทมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาโครงการเพิ่มอีก 2 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินในย่านซีบีดี กรุงเทพ และที่ภูเก็ต มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท หากตกลงซื้อที่ดินได้ก็จะเริ่มพัฒนาภายในปีนี้ โดยบริษัทมีเป้าหมายการลงทุนมูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท/ปี แต่ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดีจึง
นายอุรเสฏฐ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย 2 โครงการได้แก่ โครงการสาทร การ์เด้นท์ ปัจจุบันเหลือขายกว่า 100 ยูนิต และโครงการ เอท ทองหล่อ เรสซิเด้นส์ซ เหลือขายประมาณ 60 ยูนิต โดยก่อนหน้านี้ ได้จัดแคมเปญสำหรับลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า โดยการันตีผลตอบแทน 6% /ปี นาน 2 ปี พร้อมทั้งจัดหาผู้เช่าให้ ล่าสุดได้จัดห้องชุดจำนวน 30 ยูนิต ให้ลูกค้าสามารถวางเงินจองเพียง 1 แสนบาทและดาวน์สูงสุดไม่เกิน 5% พร้อมจัดหาวงเงินกู้สูงสุด 100% จากสถาบันการเงินพันธมิตร
นอกจากนี้ ลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อยังได้รับผลตอบแทนยูนิตไม่น้อยกว่า 60,000-70,000 บาท/ยูนิตอีกด้วย และบริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มผลตอบแทน สำหรับลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อ เนื่องจากพบว่า ได้ผลตอบรับที่ดีสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 20 ยูนิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนความคืบหน้าโครงการสาทร การ์เด้นท์ ที่บริษัทได้ซื้อโครงการมาจำนวน 350 ยูนิต จากทั้งหมด 580 ยูนิต มีจำนวน 2 อาคารเชื่อมติดกัน สูง 41 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท โดยมียอดขายแล้วกว่า 60% และมียอดโอนกว่า 70 ยูนิต ส่วนจำนวนยูนิตที่เหลือคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับนักลงทุนชาวเบลเยี่ยม ในการเสนอขายห้องแบบเพนท์เฮาส์ จำนวน 7 ยูนิต จากทั้งหมด 8 ยูนิต แต่ได้ขายไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 ยูนิต คาดว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจาได้ภายในเดือนมิ.ย.52 นี้ โดยสาเหตุที่นักลงทุนชาวเบลเยี่ยมกลุ่มดังกล่าวสนใจซื้อห้องแบบเพนท์เฮาส์ นั้น เพราะมั่นใจว่าหากลงทุนไว้ประมาณ 2 ปี เชื่อว่าตลาดจะกลับคืนมาอย่างแน่นอน เมื่อถึง ณ วันนั้นก็สามารถปล่อยขายต่อทำให้มีผลกำไรกลับคืนมาได้
อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวบริษัทได้ตั้งเป้าปิดการขายในกลางปี 52 นี้ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง และการเมืองยังไม่นิ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้องเลื่อนปิดการขายเป็นในกลางปี 53
“ในช่วงปี 51 สัดส่วนลูกค้าคนไทย-ต่างชาติ มีประมาณ 50:50 แต่ในปี 52 นี้สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติลดลงอย่างเห็นได้ชัดเหลือเพียง 20% ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ”
สำหรับยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จาก 2 โครงการดังกล่าวประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจากโครงการสาทร การ์เด้นท์ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และ เอท ทองหล่อ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีหน้า
ส่วนโครงการ รึทึ่ม รัชดา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% จากทั้งหมด 881 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 54 เป็นต้นไป, ส่วนโครงการที่สาทร 12 นั้นคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในปีนี้