xs
xsm
sm
md
lg

แนะบาลานซ์หนี้สาธารณะ ต้องดูสภาพคล่อง-ดอกเบี้ยในตลาดด้วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เตือนรัฐคุมกรอบกู้ 8 แสนล้าน ห่วงก่อหนี้เพิ่มในอนาคต คาดแนวโน้มหนี้สาธารณะปี 56 อาจอยู่ที่ระดับ 60% ของจีดีพี พร้อมแนะให้ระวังการกระจุกตัวในช่วงใดช่วงหนึ่ง เพื่อช่วยให้การระบายสภาพคล่องออกจากระบบ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้ช่องทางกฎหมายกู้เงินฉุกเฉินสองฉบับที่เสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ ในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 (วันนี้) คาดว่า เป็นการเอื้อให้รัฐบาลสามารถเลี่ยงข้อจำกัดเพดานการก่อหนี้ตามกฎหมายปกติ แต่การดำเนินการผ่านช่องทางดังกล่าว อาจมีความแตกต่างไปจากการดำเนินการในอดีต เพราะรัฐบาลได้ขอกู้เงินตามร่าง พ.ร.ก.และร่าง พ.ร.บ.ก่อนที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณหลักในปีงบประมาณ 2553-2555 จะถูกนำเสนอต่อสภา

ดังนั้น ภาคเอกชนจึงต้องหวังว่า การกู้เงินตามกฎหมายฉุกเฉินทั้งสองฉบับนี้จะไม่ถูกขยายขอบเขตการกู้เงินหรือมีการขอวงเงินเพิ่มเติมอีกในอนาคต มิฉะนั้นแล้วโอกาสที่หนี้สาธารณะของประเทศจะขยับสูงเกิน 60% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จนกระทั่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อนึ่ง วันนี้รัฐบาลนำร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจวงเงิน 4 แสนล้านบาท และร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 4 แสนล้านบาท เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภา

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ยังมองว่า การออกกฎหมายการเงินทั้งสองฉบับ เป็นการรองรับฐานะเงินคงคลังจากการที่รัฐบาลจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2552 ได้ต่ำกว่าเป้าหมาย และจะนำไปใช้เป็นวงเงินเพื่อใช้ลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) ซึ่งเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลมีรายละเอียดของแผนการลงทุนและแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ที่ค่อนข้างแน่ชัด และเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่ง

ซึ่งหากกฎหมายกู้เงินฉุกเฉินดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ รวมถึงกระบวนการทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยได้ ก็จะเป็นการยืนยันว่าแผนการลงทุนตามโครงการ SP2 คงจะสามารถเดินหน้าต่อไปจนสำเร็จลุล่วงได้ไม่ว่าอายุของรัฐบาลชุดนี้จะยาวนานเพียงใด

นอกจากผลกระตุ้นต่อเศรษฐกิจแล้ว การดำเนินการตามแผนของรัฐบาล จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และนำมาสู่การขยายการลงทุนของภาคเอกชนตามมา

สำหรับขนาดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมจากภาครัฐระหว่างปีงบประมาณ 2553-2555 ต้องคำนึงถึงทั้งผลจากการใช้จ่ายผ่านเงินงบประมาณตามกรอบกฎหมายที่ตั้งไว้ และผลจากการใช้จ่ายเงินเพื่อการลงทุนในโครงการ SP2 จากวิธีการกู้เงินฉุกเฉิน ซึ่งประเมินว่าจะมีการกู้เงินโดยรวมประมาณ 6 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2 แสนล้านบาท (การกู้เงินตามร่าง พ.ร.ก.2 แสนล้านบาทแรก ใช้เงินเพื่อรักษาฐานะเงินคงคลัง ในปีงบประมาณ 2552)

การกู้เงินของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2553-2555 จะต้องคำนึงถึงการกู้ตามกรอบวงเงินงบประมาณหลัก บวกกับการกู้ตามร่าง พ.ร.ก.และร่าง พ.ร.บ.นี้ด้วย ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2553 แม้กรอบงบประมาณรายจ่ายลดลงเหลือ 1.7 ล้านล้านบาทแต่เมื่อรวมการกู้เงินเพิ่ม จะส่งผลให้การใช้จ่ายรวมจากภาครัฐมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับกรอบงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2552

อย่างไรก็ตาม การระดมเงินกู้ภาครัฐเพิ่มเติมอีกเฉลี่ยไตรมาสละ 5 หมื่นล้านบาท หรือปีงบประมาณละ 2 แสนล้านบาท ในช่วงปีงบประมาณ 2553-2555 จะทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินทยอยถูกระบายออกไปในช่วงแรก แต่การที่รัฐบาลจะนำเงินไปใช้ลงทุนในโครงการ SP2 ซึ่งเป็นโครงการที่มีสัดส่วนการซื้อสินค้าและบริการจากในประเทศ รวมถึงการจ้างแรงงานในประเทศกว่า 2 ใน 3 ของวงเงินลงทุน ก็น่าที่จะส่งผลให้มีสภาพคล่องบางส่วนทยอยไหลกลับเข้าสู่ระบบในระยะถัดไป

ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันที่ความต้องการระดมเงินจากภาคเอกชนยังมีจำกัด รวมทั้งสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีอยู่สูงถึงกว่า 1 ล้านล้านบาท การเตรียมวางแผนกู้เงินของรัฐบาลที่ไม่กระจุกตัวหรือหนาแน่นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็น่าที่จะช่วยให้การระบายสภาพคล่องออกจากระบบดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินมากเท่าที่กังวล

แต่จากการกู้เงินดังกล่าวทำให้การก่อหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยจะทำให้หนี้สาธารณะปรับสูงขึ้นไปถึง 60-61% ต่อจีดีพีในปี 2556 จากปัจจุบันที่อยู่ 40.97% และแม้หนี้สาธารณะอาจมีแนวโน้มเลยจากกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50% ของจีดีพี

ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจได้รับการเยียวยาให้สามารถฟื้นกลับมาขยายตัวในอัตราการเติบโตที่ระดับศักยภาพได้ตามที่คาดหวัง รัฐบาลก็น่าจะสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่ระดับดังกล่าวให้ทยอยปรับลดลงและไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาวได้
กำลังโหลดความคิดเห็น