“การบินไทย” ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน 10 ดอลลาร์/เที่ยวบิน เฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศ โดยมีผล 12 มิ.ย.นี้ ส่วนผลกระทบน้ำมันโลกพุ่งเกิน 60 ดอลลาร์/บาเรล มีการซื้อประกันความเสี่ยงแล้ว เตรียมพิจารณายกเลิกแผนจัดซื้อแอร์บัส เอ380 จำนวน 6 ลำ เพื่อลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ “ซาเล้ง” มั่นใจสรุปได้วันนี้
นายปานดิษฐ์ ชนะภัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า บริษัทได้ประกาศปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน (fuel surcharge) เที่ยวบินระหว่างประเทศ ในเส้นทางยุโรป ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ในอัตรา 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2552 (วันศุกร์นี้) หลังราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
“ผมเชื่อว่า การปรับขึ้น fuel surcharge ไม่น่าจะส่งผลต่อยอดขายตั๋วโดยสารของการบินไทย เพราะจำนวนที่เก็บไม่มาก ส่วนทิศทางราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาที่กว่า 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การบินไทยได้ทำประกันความเสี่ยงน้ำม้นเต็มเพดานแล้ว หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ของปริมาณน้ำมันที่ใช้ในการบิน ตามมติของคณะกรรมการบริษัท”
นายปานดิษฐ์ คาดว่า อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) ตลอดทั้งปี 2552 จะอยู่ประมาณ 71-72% ซึ่งต่ำกว่าปี่ก่อนที่มีอัตราส่วนที่ 76% อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับสายการบินอื่น โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ cabin factor คาดว่า จะไม่ต่ำกว่าเป้าหมาย แม้ว่าจะเจอวิกฤตเศรษฐกิจและปัจจัยลบหลายอย่าง
โดยล่าสุด เหตุการณ์เครื่องบินของสายการบินแอร์ฟรานซ์ประสบอุบัติเหตุตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งส่งผลด้านจิตวิทยา แต่ก็ยอมรับว่าธุรกิจการบินจากนี้ไปจะยังไม่ดีขึ้น จากการเข้าร่วมประชุมสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดการณ์ว่า ธุรกิจการบินจะตกต่ำไปอีก 2-3 ปี
อย่างไรก็ตาม นายปานดิษฐ์ กล่าวว่า การบินไทยยังทำการตลาดต่อเนื่อง โดยจัดโปรโมชันและจะเพิ่มความถี่เที่ยวบิน ได้แก่ กรุงเทพฯ-ลอสแองเจลีส จากปัจจุบันทำการบิน 3 วันต่อสัปดาห์ แต่อาจจะเพิ่มเป็น 4 -5 เที่ยวบินต่อสัปดาหฺ์ คาดว่า จะได้ข้อสรุปในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 นี้ นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยวานนี้ การบินไทย เปิดเส้นทางบินใหม่กรุงเทพฯ-ออสโล ประเทศนอร์เวย์ ทำการบินตรง 11 ชั่วโมง โดยใช้เครื่องบินแอร์บัส A340-500 โดยทำการบิน 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.นี้
นายปานดิษฐ์ ยังคาดการณ์อีกว่า ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม การบินไทยน่าจะมี cabin factor สูงถึง 80% จากช่วงเริ่มต้นที่คาดว่าอยู่ระดับ 70% พร้อมคาดว่า ในปีแรกบริษัทจะทำรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท
ทั้งนี้ ภายหลังการเปิดเส้นทางใหม่ดังกล่าวจะทำให้การบินไทยมีจุดบินรวมเป็น 71 จุด ซึ่งการเปิดเส้นทางนี้ เป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าสำคัญในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และเข้ามาท่องเที่ยวไทยจำนวนมาก
พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) การบินไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อมาศึกษาความคุ้มค่าในการใช้ประโยชน์เครื่องบินแอร์บัส เอ380 ซึ่งมีตัวแทนจากสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัว ทำให้ความต้องการเดินทางโดยเครื่องบินปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ คณะทำงานจะศึกษาถึงข้อกฎหมายว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงในสัญญาการซื้อขาย เช่น อาจเลื่อนการรับมอบเครื่องบินลำแรกจากสัญญาเดิมที่รับมอบลำแรกในปี 2554 หรืออาจยกเลิกการซื้อรุ่นนี้ ซึ่งจะพิจารณาสัญญาว่าถูกปรับเป็นจำนวนเงินมากหรือไม่ รวมทั้งศึกษาด้วยว่า หากยังคงซื้อมาใช้งาน จะกระทบสภาพคล่องของบริษัทหรือไม่ ซึ่งหากได้ข้อสรุปอย่างไร การบินไทยจะเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อนำเสนอให้ ครม.พิจารณาต่อไป
“ตอนนี้การบินไทยยังไม่ยกเลิกสัญญาการซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 จำนวน 6 ลำ เพราะต้องรอข้อสรุปจากคณะทำงานก่อนว่าเป็นอย่างไร แต่ยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวย ต้องดูว่านำเครื่องมาแล้วคุ้มค่าหรือเปล่า”
ทั้งนี้ เครื่องบินแอร์บัส เอ380 ถือเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีสนามบินประมาณ 8 แห่งที่รองรับได้ โดยล่าสุดสายการบินเอมิเรตส์ได้นำเครื่องบินรุ่นดังกล่าว มาให้บริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-ดูไบ ครั้งแรกในเอเชีย
ขณะที่ นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หากการบินไทยจะยกเลิกสัญญาซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ380 นั้น ก็ต้องฟังเหตุผลและข้อมูลจาก การบินไทยก่อน ส่วนตัวเห็นว่าการซื้อเครื่องบินขนาดใหญ่ถึง 6 ลำ น่าจะมากเกินไป ควรปรับลดลงมา ซึ่งตนเองจะหารือร่วมกับ นายวัลลภ พุกกะณะสุต ประธานกรรมการบริหาร การบินไทย ซึ่งคาดว่า ในวันนี้ คงจะได้ข้อสรุป
