ซีพี-เมจิ ปรับโพซิชันนิงสู่“พรีเมียม เจแปนนิช” ปั้นนมพาสเจอร์ไรส์พรีเมียม 5 ตัวสร้างภาพลักษณ์ ปูพรมส่ง “เมจิโกลด์-บิวติซีรีส์” ลงตลาด เดินหน้าทุ่ม 150 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตรองรับการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ระบุ 5 เดือน สงครามโปรโมชันเดือดดันยอดขายโตพรวด สิ้นปีโต 10% กวาด 3,500 ล้านบาท
นายประสิทธิ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีพีเมจิ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายนมพลาสเจอร์ไรส์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับโพซิชันนิงกลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มซีพี-เมจิใหม่มาสู่การเป็น“พรีเมียม เจแปนนิช”ให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อสื่อสารถึงคุณภาพภายใต้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยของบริษัท เมจิแดรี่ส์ จำกัด ของประเทศญี่ปุ่น
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวนมสดพาสเจอร์ไรส์ระดับพรีเมียม 2 รายการจาก 5รายการในปีนี้ ได้แก่ นมภายใต้แบรนด์”เมจิ โกลด์” และ”เมจิ บิวติซีรีส์” และยังวางแผนเปิดตัวสินค้ากลุ่มเพื่อสุขภาพระดับพรีเมียม เพื่อเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ต ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นสินค้าญี่ปุ่นระดับพรีเมียม
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนทุ่มงบ 150ล้านบาท แบ่งเป็นงบเพิ่มกำลังการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ 30 ล้านบาท และเพิ่มกำลังการผลิตนมเปรี้ยวพร้อมดื่มจุลินทรีย์ 60% เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง 15-20% ทั้งนี้การขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจทั้งในประเทศและส่งออก หลังจากบริษัทวางแผนขยายตลาดต่างประเทศก โดยจะรุกตลาดมาเลเซีย
หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำตลาดในสิงคโปร์และฮ่องกง เนื่องจากมองว่าประเทศมาเลเซียมีอัตราการดื่มนมที่มาก และคาดว่ารายได้ส่งออกเติบโต 10-15% จากรายได้ปีที่ผ่านมาเกือบ 500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของรายได้รวม 3,100 ล้านบาท
สำหรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทได้ปรับกลยุทธ์จากเดิมที่เน้นการสื่อสารเฉพาะเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ มาเป็นการสื่อสารเชิงคอร์ปอเรตผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าในถึงความแตกต่างในคุณประโยชน์ที่เหนือกว่า โดยวางงบการตลาดไว้ 60 ล้านบาท ทั้งในส่วนของอะโบลเดอะไลน์และบีโลว์เดอะไลน์
“ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย และการตัดสินใจซื้อสินค้ามาคำนึงถึงโปรโมชันมากขึ้น จากพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้ในช่วงต้นปีผู้ประกอบการแข่งขันโปรโมชันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ยอดขายจึงเติบโตก้าวกระโดด”
ภาพตลาดนมพร้อมดื่มมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท แบ่ง นมสดพาสเจอร์ไรส์ 5,000ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 50 %หรือคิดเป็นมูลค่า 2,500 ล้านบาท ตลาดโยเกริ์ตพร้อมดื่มแบบมีจุลินทรีย์ 6,000ล้านบาท เติบโต 15-20% และตลาดโยเกริ์ตพร้อมดื่มประมาณ 3,000ล้านบาท ส่วนตลาดนมยูเอชทีประมาณ 8,000 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสแรกของบริษัทฯที่ผ่านมา เติบโต 10% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากช่วงกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา ราคานมมีการปรับตัวที่สูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 18 บาท ซึ่งทางรัฐบาลได้รับภาระไว้ที่ราคา 16.50 บาท ทำให้มีส่วนต่าง 1.50 บาท โดยบริษัทได้นำมาใส่ในส่วนของการจัดโปรโมชัน ส่งผลให้ผู้บริโภคนมเพิ่มขึ้น และคาดว่าทั้งปีเติบโต 10% หรือมีรายได้ 3,500 ล้านบาท
นายประสิทธิ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีพีเมจิ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายนมพลาสเจอร์ไรส์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับโพซิชันนิงกลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มซีพี-เมจิใหม่มาสู่การเป็น“พรีเมียม เจแปนนิช”ให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อสื่อสารถึงคุณภาพภายใต้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยของบริษัท เมจิแดรี่ส์ จำกัด ของประเทศญี่ปุ่น
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวนมสดพาสเจอร์ไรส์ระดับพรีเมียม 2 รายการจาก 5รายการในปีนี้ ได้แก่ นมภายใต้แบรนด์”เมจิ โกลด์” และ”เมจิ บิวติซีรีส์” และยังวางแผนเปิดตัวสินค้ากลุ่มเพื่อสุขภาพระดับพรีเมียม เพื่อเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ต ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นสินค้าญี่ปุ่นระดับพรีเมียม
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนทุ่มงบ 150ล้านบาท แบ่งเป็นงบเพิ่มกำลังการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ 30 ล้านบาท และเพิ่มกำลังการผลิตนมเปรี้ยวพร้อมดื่มจุลินทรีย์ 60% เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง 15-20% ทั้งนี้การขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจทั้งในประเทศและส่งออก หลังจากบริษัทวางแผนขยายตลาดต่างประเทศก โดยจะรุกตลาดมาเลเซีย
หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำตลาดในสิงคโปร์และฮ่องกง เนื่องจากมองว่าประเทศมาเลเซียมีอัตราการดื่มนมที่มาก และคาดว่ารายได้ส่งออกเติบโต 10-15% จากรายได้ปีที่ผ่านมาเกือบ 500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของรายได้รวม 3,100 ล้านบาท
สำหรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทได้ปรับกลยุทธ์จากเดิมที่เน้นการสื่อสารเฉพาะเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ มาเป็นการสื่อสารเชิงคอร์ปอเรตผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าในถึงความแตกต่างในคุณประโยชน์ที่เหนือกว่า โดยวางงบการตลาดไว้ 60 ล้านบาท ทั้งในส่วนของอะโบลเดอะไลน์และบีโลว์เดอะไลน์
“ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย และการตัดสินใจซื้อสินค้ามาคำนึงถึงโปรโมชันมากขึ้น จากพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้ในช่วงต้นปีผู้ประกอบการแข่งขันโปรโมชันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ยอดขายจึงเติบโตก้าวกระโดด”
ภาพตลาดนมพร้อมดื่มมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท แบ่ง นมสดพาสเจอร์ไรส์ 5,000ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 50 %หรือคิดเป็นมูลค่า 2,500 ล้านบาท ตลาดโยเกริ์ตพร้อมดื่มแบบมีจุลินทรีย์ 6,000ล้านบาท เติบโต 15-20% และตลาดโยเกริ์ตพร้อมดื่มประมาณ 3,000ล้านบาท ส่วนตลาดนมยูเอชทีประมาณ 8,000 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสแรกของบริษัทฯที่ผ่านมา เติบโต 10% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากช่วงกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา ราคานมมีการปรับตัวที่สูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 18 บาท ซึ่งทางรัฐบาลได้รับภาระไว้ที่ราคา 16.50 บาท ทำให้มีส่วนต่าง 1.50 บาท โดยบริษัทได้นำมาใส่ในส่วนของการจัดโปรโมชัน ส่งผลให้ผู้บริโภคนมเพิ่มขึ้น และคาดว่าทั้งปีเติบโต 10% หรือมีรายได้ 3,500 ล้านบาท