“กอร์ปศักดิ์” ยอมรับการทำงานผลักดันแผนกระตุ้น ศก.ยังติดอุปสรรคบางจุด ต้นเหตุ “โอฬาร” แจกเกรดซี พร้อมแจงกรณี “แบงก์ชาติ” ยังไม่สนับสนุนนโยบายคลัง เพราะมีอิสระในการทำงาน แนะต้องมีความรับผิดชอบด้วย เตรียมชงชื่อบอร์ดคนนอกคุมการเงินงบฯ เข้า ครม.สัปดาห์หน้า
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ให้คะแนนการทำงานของรัฐบาลเพียงระดับซี โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังแล้วนำกลับมาปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ส่วนกรณีที่ระบุว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่สนับสนุนนโยบายการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น นายกอร์ปศักดิ์ระบุว่า เรื่องนี้เคยชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่า การทำงานของ ธปท.นั้นมีความเป็นอิสระทั้งเรื่องของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายดอกเบี้ย
นายกอร์ปศักดิ์ระบุเพิ่มเติมว่า ความเป็นอิสระที่ ธปท.ดำเนินการนั้นต้องยังไม่เพียงพอต้องมีความรับผิดชอบด้วย เพราะที่ผ่านมาการใช้นโยบายการคลังได้ทำอย่างเต็มพิกัดแล้ว โดยเฉพาะการออกกฎหมายกู้เงินทั้ง 2 ฉบับ ขณะที่ต้องเห็นใจ ธปท.เกี่ยวกับเรื่องการดูแลสินเชื่อ แต่เชื่อว่าเมื่อเรื่อง พ.ร.ก.เรียบร้อยแล้ว และภาคเอกชนได้สัญญาที่จะดำเนินการ ก็เชื่อว่าจะเริ่มกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ต่อไป
สำหรับความคืบหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 2 นายกอร์ปศักดิ์ระบุว่า ภายในสัปดาห์หน้า ตนเองจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบคณะกรรมการติดตามโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่ติดตามการใช้เงินนอกงบประมาณ ส่วนจะมีใครบ้างยังไม่สามารถบอกได้เพราะต้องขึ้นอยู่กับ ครม. แต่ยืนยันได้ว่าต้องไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องทางการเมืองแน่นอน
นอกจากนี้ สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งจัดทำบัญชีโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินนอกงบประมาณที่รัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท โดย 2 แสนล้านบาทแรกจะนำไปใช้ปิดหีบงบประมาณ ส่วนอีก 2 แสนล้านบาทที่เหลือจะนำมาจัดสรรให้กับโครงการต่างๆ ซึ่งมีจำนวนมาก เช่น โครงการต้นกล้าอาชีพ ที่ได้รับจัดสรรจากเงินก้อนนี้ประมาณ 7,000 ล้านบาท งบประจำจังหวัดวงเงินที่ได้รับจัดสรรประมาณ 14,000 ล้านบาท และยังมีโครงการถนนไร้ฝุ่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี และโครงการอื่นๆ อีกจำนวนมาก
นายกอร์ปศักดิ์กล่าวว่า นายกฯ ได้กำชับให้แนบบัญชีรายชื่อโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินทั้งหมดให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาด้วย เพราะเป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ จึงต้องออกเป็น พ.ร.ก. ซึ่งต้องขอความเห็นใจจากที่ประชุมสภาฯ เพราะหากเกิดปัญหาจะยิ่งส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและจะเกิดแรงต้านที่มากกว่า โดยมั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงเรื่องการออก พ.ร.ก.กู้เงินได้ทั้งหมด เพราะเป็นรื่องจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง
