การเมืองเล่นสกปรก-แผนชั่วใต้ดิน ฉุดความน่าเชื่อถือประเทศ

ผู้บริหาร “มูดีส์” ชี้ การเมืองไทยส่อยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานด้านความน่าเชื่อถือของไทย หากไม่สามารถคลี่คลายวงจรอุบาทว์ได้ เพราะฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ได้ประกาศใช้แผนใต้ดิน และนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง เพื่อหวังเผด็จศึก จับตาแผนสกปรก “กลุ่มไอ้โม่ง” ในอำนาจรัฐ กำลังเดินแผนชั่ว ยั่วยุเหลืองปะทะแดง-สังหารนายกฯ

นายโทมัส ไบรน์ รองประธานอาวุโสของ Moody's Sovereign Risk Group กล่าวถึงปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศของไทย ที่เริ่มเห็นภาพการส่อเค้าบานปลาย และไม่ยุติลงได้โดยง่าย โดยระบุว่า แม้ความเสี่ยงเรื่องการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่แข็งแกร่งของไทย ที่ระดับ Baa1 ยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศช่วงนี้ ส่งสัญญาณให้เห็นถึงแนวโน้มช่วงขาลงของเศรษฐกิจ ในขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามที่จะรับมือกับผลกระทบที่พลิกผันจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

ทั้งนี้ หากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลยังไม่ประนีประนอม และหากสถาบันของไทยไม่สามารถคลี่คลายวงจรเลวร้ายทางการเมืองได้ สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันก็อาจจะส่งผลกระทบด้านลบตามมาต่อปัจจัยพื้นฐานด้านความน่าเชื่อถือของไทย

การแสดงความคิดเห็นดังกล่าว สอดคล้องกับการจัดทำรายงานของมูดีส์ในบริบทของเศรษฐกิจของไทย และการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หลังเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และกลุ่มอำนาจที่ 3 ที่พยายามเล่นสกปรก โดยใช้ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเสื้อหลากสี

ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองไทยหลังการจลาจล 13 เมษายน 2552 ไม่ได้สงบราบเรียบ เหมือนกับภาพที่มองเห็น เพราะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ได้ประกาศแผนกลยุทธ์การต่อสู่ใหม่ โดยใช้วิธีใต้ดิน โดยเฉพาะแกนนำที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศ โดยล่าสุด กลุ่มเสื้อแดงได้ประกาศชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ที่ จ.สมุทรสาคร

ขณะเดียวกัน กลุ่มอำนาจรัฐบางส่วน ก็หันมาใช้วิธีเล่นสกปรก เพื่อสร้างฐานอำนาจใหม่ทางการเมืองที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะประเด็นการลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อเสี้ยมให้คนเสื้อเหลืองลุกขึ้นมาห้ำหั่นกับคนเสื้อแดง พร้อมกับแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี โดยมีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองหนุนหลัง และมีการจัดสรรตำแหน่งอำนาจผลประโยชน์กันเรียบร้อยแล้ว