xs
xsm
sm
md
lg

รัฐกลับลำให้ ธ.ก.ส.รับจำนำข้าว ขยาดกู้เงินอุ้มต้นทุนสูงแตะ 8%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐบาลขยาดใช้เงินกู้อุ้มสินค้าเกษตรกร หลังกู้แบงก์ 1.1 แสนล้าน ดันต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายสูงถึง 8.0% ระบุ หากดำเนินการผ่าน ธ.ก.ส.จะมีต้นทุนเพียง 6.0% เท่านั้นเตรียมดึงกลับให้ ธ.ก.ส.ทำเองตามเดิม ประเดิมโครงการรับจำนำข้าวนาปรังครั้งใหม่ใช้เงิน 3 หมื่นล้านบาท ยืนยันไม่กระทบการปล่อยกู้สินเชื่อปกติของ ธ.ก.ส.แต่อย่างใด

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รักษาการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรกร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า การดำเนินนโยบายดูแลราคาพืชผลทางการเกษตรกรในระยะต่อไปของรัฐบาลจะเน้นดำเนินการผ่าน ธ.ก.ส.เป็นหลัก โดยเฉพาะการใช้เงินเข้าไปรับจำนำหรือแทรกแซงราคา เนื่องจากเห็นว่าการใช้เงินกู้ 1.1 แสนล้านบาท เพื่อรับจำนำสินค้า 4 ประเภท คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และปาล์ม นั้น มีต้นทุนการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูง โดยเป็นต้นทุนดอกเบี้ยที่กู้ยืมจากสถาบันการเงิน 4.9% บวกกับค่าดำเนินงานของ ธ.ก.ส.อีก 3.0% รวมรัฐบาลมีต้นทุนเกือบ 8.0% เทียบกับการใช้เงินของธ.ก.ส.ดำเนินการจะมีต้นทุนประมาณ 6.0% (คิดอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์-1%)

ทั้งนี้ โครงการแรกที่หันมาใช้เงินของ ธ.ก.ส.เอง คือ การรับจำนำข้าวนาปรังที่เพิ่งเริ่มดำเนินโครงการไปไม่นาน โดยมีเป้าหมายรับจำนำ 2.5 ล้านตัน ใช้เงินรวม 3 หมื่นล้านบาท โดย ธ.ก.ส.ทำหน้าที่จ่ายเงินตามใบประทวนเท่านั้น ส่วนข้าวจะเก็บไว้ที่โรงสีที่เข้าโครงการ ซึ่งล่าสุดยังมีเกษตรกรมารับจำไม่มากนักจ่ายเงินไปเพียง 17 ล้านบาทเท่านั้น เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งจะเป็นคนละพื้นที่กับข้าวนาปีก่อนหน้านี้ โดยหลังปิดโครงการ 31 ก.ค.น่าจะมีปริมาณข้าวเข้ามาจำนำตามเป้าหมาย เพราะราคาที่รับจำนำถือว่าสูงกว่าตลาดเล็กน้อยอยู่ที่ตันละ 1.2 หมื่นบาท แต่ต่ำกว่าปีก่อนที่ราคาสูงถึงตันละ 1.4 หมื่นบาท

“การรับจำนำข้านาปรังครั้งนี้ มองว่า รัฐบาลจะขาดทุนเล็กน้อย หากเกษตรกรไม่มาไถ่ถอนภายใน 3-4 เดือน และต้องขายข้าวออกไปซึ่งในส่วนที่ขาดทุนนั้นรัฐบาลต้องจ่ายชดเชยให้ธ.ก.ส.ในฐานะเจ้าของเงิน และการใช้เงิน 3 หมื่นล้านบาทครั้งนี้ จะไม่กระทบกับการดำเนินงานปกติของธนาคารเพราะถือว่าไม่สูงมากนัก โดยในอนาคตหากจะต้องเข้าแทรกแซงสินค้าอื่นๆ อีก ธ.ก.ส.ก็พร้อมดำเนินการ” นายเอ็นนู กล่าวและว่า เนื่องจากที่ผ่านมามีเงินที่ได้จากการชำระหนี้คืนของลูกค้าเกษตรกรเข้ามาสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ปัจุบันรัฐบาลยังค้างจ่ายเงินชดเชยจากการดำเนินนโยบายในอดีตเพียง 3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เพราะที่ผ่านมามีการตั้งงบประมาณชำระคืนเข้ามามากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม หนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีในสวนของเงินกู้ 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา มีการใช้ไปแล้ว 9 หมื่นล้านบาท ที่เหลือสำหรับใช้ในโครงการรับจำนำปาล์มที่ยังไม่ได้เริ่ม และอาจต้องรับจำนำข้าวโพดเพิ่มบางส่วนตามที่เกษตรกรเรียกร้องเข้ามา หลังจากที่ปิดรับจำนำไปแล้วเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนั้น นายเอ็นนู ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่กระทรวงพาณิชย์ เร่งระบายข้าวโพดในสต๊อก 4.5 แสนตัน อาจเพื่อต้องการนำเงินมาใช้หนี้ในโครงการรับจำนำที่ผ่านมา แต่มองว่าการขายข้าวโพดไม่ควรมีราคาต่ำกว่า 6-7 บาทต่อกิโลกรัม แม้จะขาดทุนก็ยังอยู่ในวิสัยที่ยอมรับได้ เพราะรัฐบาลรับจำนำในราคากิโลกรัมละ 8.50 บาท แต่หากขายแค่ 3-4 บาท คงไม่เหมาะสม ซึ่งเข้าใจว่า การล้มประมูลใน 2 ครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากภาคเอกชนเสนอราคามาต่ำเกินไป ครั้งแรกเสนอราคาที่ 2.50-5.00 บาทต่อกิโลกรัม และครั้งที่ 2 เสนอราคาที่ 3.50-7 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งทางคณะกรรมการก็ยังไม่พอใจกับราคาที่เสนอมา

ส่วนโครงการต้นกล้าอาชีพที่ล่าช้าอออกไปนั้นก็จะส่งผลให้การปล่อยกู้สร้างอาชีพของ ธ.ก.ส.ที่ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ต้องล่าช้าออกไปด้วย และจากจำนวนผู้สนใจฝึกอบรมที่มีน้อยกว่าเป้าหมายนั้นก็อาจส่งผลให้วงเงินที่ตั้งไว้ 4 พันล้านบาท มีการใช้จริงไม่ถึง 1 พันล้านบาท โดยขณะนี้ได้รับเงินมาจากสปส.แล้ว 300 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้มีการใช้จริงแต่อย่างใด ซึ่ง ธ.ก.ส.พร้อมจะปล่อยกู้ให้ผู้ที่ต้องการเงินไปประกอบอาชีพจริงๆ หากไม่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ไม่อยากสนับสนุนให้มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น