xs
xsm
sm
md
lg

สรรพากร พล่าน! หลังเสี่ยนมบูดสารภาพเลี่ยงภาษีได้นานถึง 3 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สรรพากร ผวาโดนหางเลขพิษนมโรงเรียน หลังเจ้าพ่อนมบูดแอ่นอกประกาศความสามารถหนีภาษี 3 ปี แพร่ภาพโชว์ทั่วประเทศ เตรียมส่งทีมเฉพาะกิจลงพื้นที่ หวังแกะรอยแก๊งสัมปทานนมโรงเรียน เพื่อค้นหลักฐานมัดเอาผิด-พร้อมขยายผลเพิ่มเติม ก่อนถูกทำลายหลักฐาน

นายสาธิต รังคสิริ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร กล่าวว่า หลังจากคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ตรวจพบว่า มีผู้กระทำความผิดทุจริตนมโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยมีชื่อ นายเจริญ เดชเกิด ซึ่งมีธุรกิจมูลค่าหลายร้อยล้านบาท และยังรับสารภาพต่อคณะกรรมาธิการ ว่า ไม่เคยเสียภาษีมากว่า 2 ปีแล้ว ในเรื่องดังกล่าวกรมสรรพากรในพื้นที่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงที่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่เมื่อมีข้อมูลชัดเจนเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะลงไปตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อรายงานให้ทราบโดยเร็วที่สุด

นายสาธิต กล่าวว่า ใครหลีกเลี่ยงภาษี หรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย และไม่ใช่เน้นตรวจสอบเพียงบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะมุ่งตรวจสอบไปอีกหลายธุรกิจที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสถานศึกษา เพื่อให้เสียภาษีอย่างถูกต้อง เพราะแม้เศรษฐกิจจะถดถอย แต่ยังเป็นโอกาสของธุรกิจอื่นที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบการเสียภาษีให้ละเอียด เช่น บริษัทที่จัดส่งนมโรงเรียนให้กับโรงเรียนพื้นที่ต่างๆ แม้ว่าโรงเรียนมีข้อยกเว้นบางส่วนในการเสียภาษี แต่บริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจด้วยต้องเสียภาษีอย่างถูกต้อง รวมไปถึงสถาบันกวดวิชา บริษัทจำหน่ายแบบเรียน อุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียน

นอกจากนี้ กรมสรรพากรจะตรวจสอบภาษีไปถึงธุรกิจส่งออกสินค้าไปจีน หลังจากจีนมีปัญหานมมีสารปนเปื้อนเมลามีน รวมทั้งธุรกิจด้านที่ปรึกษาทางการเงิน การประมูลงานประเภทต่างๆ จึงไม่ต้องการให้ธุรกิจที่ยังขยายตัวได้ดีแอบใช้โอกาสนี้หลีกเลี่ยง หรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน โดยหากตรวจพบการหลีกเลี่ยงภาษีมีโทษถึง 2 เท่าของภาษีที่ค้าง และคิดค่าปรับร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หากไม่ยื่นแบบเสียภาษีจะตรวจสอบย้อนหลัง 10 ปี ส่วนกรณีหากเสียภาษีไม่ครบถ้วนจะตรวจสอบย้อนหลัง 5 ปี

โดยวานนี้ มีการประชุมคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาปัญหานมโรงเรียนไม่มีคุณภาพ และมาตรฐาน โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ประกอบด้วย นายเจริญ เดชเกิด ตัวแทนผู้ประกอบการส่งนมรายใหญ่ในโซน 2 ภาคใต้ นายวิศวะ คงแก้ว ผอ.วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร นายสมศักดิ์ จันทร์รุ่ง ตัวแทนกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนกรมสรรพากร พร้อมด้วยตัวแทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตัวแทนผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ตัวแทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าร่วมสังเกตการณ์

ภายหลังการประชุม นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วย นายสุวโรช พะลัง ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ร่วมกันแถลงข่าว โดย นายประชา กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงปัญหานมบูด นมเน่า นมเสีย และนมไม่ได้มาตรฐาน โดยเชิญหน่วยงานทุกส่วนมาชี้แจง และพบหลักฐานการจัดส่งนมโดยเฉพาะนมผงขาดมันเนยที่นำเข้ามาในประเทศสำหรับเลี้ยงสัตว์ ที่นำเข้าเกินความจำเป็นที่จะใช้ในประเทศ ไม่ทราบว่าหน่วยงานต่างๆ ปล่อยให้นำเข้ามาได้อย่างไร เชื่อว่าส่วนที่เกินจะนำไปแปรรูปเป็นส่วนผสมของนมโรงเรียน ทำให้นมโรงเรียนขาดคุณภาพ

“ขณะนี้คณะกรรมาธิการใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว โดยสรุปข้อมูลนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มี.ค.ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีดำริที่จะกวาดล้างกระบวนการดังกล่าว และดำเนินการประมูลนมให้โปร่งใส พร้อมส่งข้อมูลให้ดีเอสไอ ป.ป.ช.ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ในการติดตามเส้นทางการเดินของเงิน เพื่อหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังต่อไป เพราะเท่าที่ตรวจสอบนายเจริญ ปิดปากไม่ยอมเอ่ยพาดพิงนักการเมืองหรือผู้อยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าจะมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง”

ด้าน นายสุวโรช กล่าวว่า นอกจากนี้ นายเจริญ เดชเกิด ผู้รับสัมปทานเอเย่นต์รายใหญ่ภาคใต้ ได้มาชี้แจงด้วย โดยที่ประชุมได้มีการซักถามถึงขั้นตอนการจัดส่งน้ำนมจากสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) มายังวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร ได้ความว่า นายเจริญ มีการหลบเลี่ยงภาษีในช่วง 2 ปี โดยมีวิธีการทำสัญญาร่วมค้ากับส่วนราชการ คือ วิทยาลัยเกษตรฯ และเป็นคนลงทุนสร้างโรงงาน จัดหาเครื่องจักร และป้อนวัตถุดิบให้กับวิทยาลัยดังกล่าว โดยที่วิทยาลัยดังกล่าวไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ได้ส่วนแบ่ง 12 สตางค์ต่อถุง ทั้งๆ ที่ราคากลางอยู่ 5-6 บาทต่อถุง ดังนั้น ส่วนที่เหลือนายเจริญจึงรับไปคนเดียว และขั้นตอนการรับเงิน ทาง อบต.จะสั่งจ่ายเช็คในนามวิทยาลัยเกษตรฯ และนายเจริญจะไปรับเงินจากวิทยาลัย ซึ่งทางวิทยาลัยได้หักส่วนแบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว โดยนายเจริญยอมรับว่าไม่ได้มีการเสียภาษี และทางวิทยาลัยก็ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย

“ต้องขอบคุณ นายเจริญ ที่กล้าเข้ามาชี้แจง ถือว่าเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ มาแรง มีทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ภูเก็ต ธุรกิจโรงเบียร์ ธุรกิจร้านอาหาร ดังนั้น จึงต้องจับตา นายเจริญ เป็นพิเศษ เพราะ นายเจริญ ยอมรับกลางที่ประชุม ว่า ได้รับสัมปทานส่งนมโรงเรียน 3 แห่งในภาคใต้ โดยทำร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร วิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวิชัย นครศรีธรรมราช และที่สงขลา โดยไม่มีการจ่ายภาษีแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายเจริญ น่าเลี่ยงภาษีในช่วง 2 ปี เป็นเงินเกือบพันล้านบาท ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการต่อไป”

สำหรับขบวนการหลบเลี่ยงภาษีนั้น มีการอ้างว่าเป็นการลงทุนกับวิทยาลัย ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อการเกษตร ทำสัญญากัน 10 ปี ซึ่ง นายเจริญ ยอมรับทุกขั้นตอน และเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า นายวิศวะ เป็นอาจารย์เก่าของ นายเจริญ โดยส่วนหนึ่งที่ นายวิศวะ ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยคือ การมีส่วนร่วมในการให้เจริญหลีกเลี่ยงภาษี การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดในเรื่องฮั้ว ทางกรรมาธิการ จะส่งให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ แต่เราจะเดินหน้าจับคนที่เป็นเหลือบหากินกับนมเด็ก

นายสุวโรช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมของนายเจริญ ช่วงที่ผ่านมา ว่า เคยถูกดำเนินคดีข้อหาปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน 280 ล้านบาทมาใช้ แต่ปรากฏว่า มีการยอมความกัน โดย นายเจริญ ยอมจ่ายค่าเสียหายให้สหกรณ์โคนมเพิ่มอีก 900,000 บาท ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เรื่องนี้เป็นความผิดอาญาไม่สามารถยอมความกันได้ แต่เหตุใดจึงมีการยอมความกันง่ายๆ น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ และนำไปสู่การจัดโผ 68 บริษัทในการได้รับสัมปทานจัดส่งนมโรงเรียน

“นายเจริญ ถือเป็นเจ้าพ่อนมในยุทธจักร แม้มีการยอมรับว่าไม่ได้เสียภาษี แต่ นายเจริญ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ แค่อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัย ตอนนี้พูดภาษาชาวบ้านว่า เราจับโจรได้แล้ว ส่วนจะมีใครหรือมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ให้ดูจากมติ ครม.วันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 จะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง ใครเป็นคนเสนอเข้า ครม.โดยในวันที่เสนอมีการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหานมทั้งระบบ โดยแบ่งเป็นนมดิบ นมโรงเรียน นมผงขาดมันเนย ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และยังมีการแก้ไขปัญหาระยะยาวอีก”

ปัญหาในขณะนี้ ต้องกลับย้อนไปดูผลจากข้อมูลของกรมศุลกากร ซึ่งชี้ชัดว่า มีการนำเข้านมผงขาดมันเนยมากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจมีการเล่นแร่แปธาตุ นำไปผลิตเป็นนมผงให้เด็ก อยากให้รัฐบาลไปดูในสตอกว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ และที่เหลือเอาไปที่ไหน และเอาไปทำอะไร เพื่อความชัดเจนในการตรวจสอบ


กำลังโหลดความคิดเห็น