xs
xsm
sm
md
lg

"กรณ์"จำนนจีดีพีQ2ติดลบ บาทผันผวนอ่อนค่าใกล้36

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขุนคลังจำนนครึ่งปีแรกจีดีพีติดลบ ยอมรับปัจจัยต่างประเทศกดดันหนัก รัฐบาลต้องจับตาใกล้ชิด เหตุมาตรการอัดฉีดในประเทศแค่เยียวยา ยอมรับระยะการฟื้นตัวเศรษฐกิจอาจกินเวลานาน 3 ปี สั่งกรมสรรพากรถกผู้ส่งออก ช่วยลดอุปสรรคและหาทางช่วยเหลือด้านภาษี ขณะที่ “เจ๊พร”อ้อนผู้ส่งออกอย่าเพิ่งท้อ ขอให้ประคองตัวไปก่อน เผยรัฐบาลไม่ทิ้ง พาณิชย์จะเร่งบุกเจาะตลาดใหม่ชดเชยยอดส่งออกที่ลดลงให้มากขึ้น “อลงกรณ์”เสนอตั้งเทรดล๊อบบี้ยิสต์ช่วย พร้อมหาทางโฆษณาสินค้าไทยในประเทศเป้าหมาย ขณะที่เงินบาทผันผวนหนัก อ่อนค่าต่อเนื่องปิดตลาดที่ 35.73 บาทต่อดอลลาร์หลังผู้นำเข้าไล่เก็บดอลลาร์

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวยอมรับว่าการส่งออกในเดือน ม.ค.ที่ติดลบถึง 26.5% มีผลให้เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวติดลบมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 51 ติดลบต่อเนื่องไปอีกตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จึงต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพราะเงื่อนไขหลักอยู่ที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่น่าเป็นห่วงกว่า เดิมเคยคาดจะเป็นวีเชป (V shape)คือต่ำเร็วขึ้นเร็วใน 6 เดือน ถึงตอนนี้คงไม่มีใครเชื่อแล้ว เวลาฟื้นตัวคงยาวเป็น 3 ปีและจีดีพีจะติดลบต่อเนื่อง 3 ไตรมาส

"คาดการณ์เดิมของกระทรวงการคลังคาดว่าไตรมาส 2 จีดีพีจะปรับมาดีขึ้น จากมาตรการรัฐบาลที่กระตุ้นผ่านงบกลางปีแสนล้านบาท แต่สถานการณ์ขณะนี้อาจไม่เพียงพอ" รมว.คลังกล่าว

จากการรับฟังผู้ส่งออกที่เข้าร่วมงานเสวนา "ศุกร์เศรษฐกิจกับรัฐมนตรีกรณ์ ฟัง-คิด-ทำ" ในหัวข้อ "ถกทางออก ส่งออกไทย" นายกรณ์เปิดเผยว่า เอกชนผู้ส่งออกได้ปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีมากและไม่มีการแบมือขอเงินจากรัฐ แต่จะมีอุตสาหกรรมที่แย่คืออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นไปตามเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจรวมของประเทศ เพราะมูลค่าส่งออกดังกล่าวมีสัดส่วนสูงอย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนส่งออกเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยรักษาระดับการส่งออกที่มีอยู่ให้ได้

อีกปัญหาที่ผู้ส่งออกได้รับคือการที่ค่าเงินของประเทศคู่ค้าตกต่ำลงหรืออ่อนค่าลงมากทำให้การสั่งซื้อสินค้าเข้าจากประเทศไทยน้อยลงซึ่งหมายถึงการส่งออกไทยปรับตัวติดลบอย่างที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันพบว่าดุลบัญชีเดินสะพัดไทยกลับมาเป็นบวกซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่วนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานแล้วว่าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้มีผลต่อภาคการส่งออกที่จะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าแต่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นบวกเป็นผลจากการนำเข้าหดตัวมากกว่าการส่งออกนั่นเอง

สำหรับทางออกของกลุ่มผู้ส่งออกไทย ตนได้แนะนำไปคือการหาตลาดใหม่ ทั้งแอฟริกา ตะวันออกกลางและเอเชีย เนื่องจากตลาดเหล่านี้มีปัญหาเพียงเศรษฐกิจฝืด ไม่ได้มีมูลค่าทรัพย์สินลดลงเช่น อเมริกาและยุโรป ซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้ฟื้นตัวเร็วกว่า พร้อมสั่งการให้กรมสรรพากรเข้าไปรับฟังปัญหาเพื่อลดอุปสรรคและช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้องได้

สศค.ปรับลดจีดีพีต่ำกว่า 0-2%

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในเดือนมี.ค.นี้ สศค.จะปรับประมาณการจีดีพีปี 52 อีกรอบ โดยจะพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดจะปรับลดลง จากเดิมที่ประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวได้ 0-2% นอกจากนี้จะปรับประมาณการการส่งออกปีนี้ใหม่ด้วย จากเดิมที่คาดมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวติดลบ 2.7% และปริมาณการส่งออกจะขยายตัวติดลบ 2.8% แต่หากตัวเลขยังติดลบ 26.5% ก็อาจทำให้ทั้งปีการส่งออกจะติดลบไม่เกิน 10%

“เจ๊พร”อ้อนผู้ส่งออกอย่าเพิ่งท้อ

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ตัวเลขการส่งออกในเดือนม.ค.ที่ติดลบสูงถึง 26.5% ว่า ไม่อยากให้ผู้ส่งออกท้อถอย และอย่าทิ้งกิจการ ขอให้ประคองตัวไปก่อน เพราะวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นไปทั่วโลกและคู่ค้าที่เป็นประเทศส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบ ทำให้ส่งออกไทยติดลบ แต่ก็ยังมีประเทศอื่นๆ ติดลบมากกว่าไทยด้วย

“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นายกรัฐมนตรีก็รับทราบปัญหาและพยายามแก้ไขโดยการเสริมสภาพคล่องผ่านมาตรการต่างๆ และยังได้หารือรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือ โดยเฉพาะด้านภาษี และการเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้ทยอยเรียกประชุมกลุ่มธุรกิจแต่ละประเภทเพื่อมารับฟังปัญหาและร่วมกันกำหนดแนวทางในการทำให้การส่งออกไม่ติดลบหรือติดลบน้อยที่สุด รวมทั้งจะมีการประชุมทูตพาณิชย์ ในวันที่ 25-26 ก.พ.นี้ เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้งด้วย”นางพรทิวากล่าว

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุถึงตัวเลขส่งออกของปีนี้ที่ตั้งไว้ว่าจะขยายตัว 0-3% จะต้องปรับหรือไม่ เพราะปัญหาเศรษฐกิจโลกยังผันผวน และไม่รู้ว่าจะกระทบทำให้การส่งออกลดลงอีกหรือไม่ โดยจะมีการทบทวนตัวเลขเป็นรายไตรมาส ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกคงลำบาก แต่ยังคาดจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

นางพรทิวากล่าวว่า ตลาดใหม่จะเป็นเป้าหมายสำคัญในการบุกเจาะตลาดปีนี้ เช่น ตลาดแอฟริกา เป็นตลาดที่ใหญ่รองจากเอเชีย มีประชากรเกือบ 1,000 ล้านคน ซึ่งเดือนเม.ย. จะจัดคณะเอกชน 14 กลุ่มสินค้าไปเยือนแอฟริกา โดยคาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่าเพิ่มจาก 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีตลาดตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออก ที่จะให้ความสำคัญในการบุกเจาะตลาดเพิ่มมากขึ้น

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกคงต้องจะมีการบูรณาการและนำวิธีการใหม่ๆ มาใช้ โดยจะตั้งผู้ประสานงานทางการค้า (เทรด ล็อบบี้ยิสต์) ในแต่ละประเทศ เพื่อทำหน้าที่เสนอความต้องการของสินค้าและบริการ และแก้ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ ซึ่งเดิมมักจ้างล็อบบี้ยิสต์เมื่อมีปัญหาเท่านั้น รวมทั้ง จะมีการเพิ่มที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) มาช่วยทำตลาดให้กับสินค้าไทย และเปิดสำนักงานทูตพาณิชย์เพิ่มเติมในประเทศที่เป็นตลาดใหม่

“มีแนวคิดที่จะทำการโปรโมตแบรนด์สินค้าไทย และแบรนด์ประเทศไทย ผ่านสื่อท้องถิ่นในแต่ละประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าและบริการไทย โดยจะขอให้ทูตพาณิชย์ที่จะประชุมกันในวันที่ 25-26 ก.พ.นี้ ช่วยกันทำแผนเสนอเข้ามาให้ทันปีงบประมาณ 2553 เพราะคงจะใช้วิธีการเหมือนเดิมๆ คงไม่ได้”นายอลงกรณ์กล่าว

เงินบาทผันผวนอ่อนค่าชัดเจน

การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวานนี้ (20 ก.พ.) นักบริหารเงินธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.69/73 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าต่อเนื่องจากเปิดตลาดช่วงเช้าที่อยู่ระดับ 35.66/68 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน มีการอ่อนค่ารุนแรง บางช่วงอ่อนค่าไปถึง 20 สตางค์/ดอลลาร์ ทำให้ผู้นำเข้าเร่งเข้าซื้อดอลลาร์เก็บไว้ เนื่องจากกังวลว่าเงินบาทจะอ่อนค่าแตะ 36 บาท/ดอลลาร์ในเร็ว ๆ นี้ ส่วนวนค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบเงินสกุลหลักอื่น วันนี้เคลื่อนไหวไม่มากนัก เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ในต่างประเทศ แม้สหรัฐจะมีการอนุมัติแผนฟื้นเศรษฐกิจแล้วก็ตาม สำหรับสัปดาห์หน้า เงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และอาจจะมีการผันผวนในบางช่วง เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นเดือน ที่ผู้ส่งออกจะต้องเร่งปิดบัญชี โดยคาดว่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 35.50/85 บาท/ดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น