xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” แฉ 3 เครือข่ายหนุน “นช.แม้ว” จวก “จงรัก” ขายวิญญาณให้ “ทักษิณ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“สนธิ” ชำแหละเครือข่าย “ระบอบแม้ว” แฉ “พรรคร่วม” ตีสองหน้าแอบสบคบคิด “ทักษิณ” ขณะที่ “ตำรวจ” เอียงข้างปล่อย “ม็อบเสื้อแดง” บุกตี “พันธมิตรฯ” อัดยับ “จงรัก ซานติก้า” เก่งแต่ดำเนินการกับ “สนธิ” แต่ไม่ดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ “ม็อบถ่อย” สุดช้ำ ตร.สั่งไม่ฟ้องคดี “เสื้อแดง” บุกทำลาย “บ้านป๋าเปรม”




วานนี้ (6 ก.พ.) สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยในรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลาประมาณ 21.00-21.30 น. ถึงโครงการของ ASTV และพันธมิตรฯ จะร่วมกันทำการทวงภาษี และทรัพย์สินของคนไทยกลับคืนมาว่า สืบเนื่องมาจากปี พ.ศ.2540 ที่มีคณะกรรมการปฏิรูปทางการเงิน คือ ปรส.เกิดขึ้น ได้มีการขายทรัพย์สินของคนไทยในราคาถูกให้ต่างชาติอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยกองทุนเหล่านี้จะประมูลหนี้ไปในราคาต่ำ และไปเรียกคืนหนี้โดยเอารัดเอาเปรียบ จนคนไทยจำนวนมากต้องล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว และมีอีกที่ต้องฆ่าตัวตาย

“บัดนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งฟ้องคดีอดีตผู้บริหาร ปรส.ที่ทำผิดกฎหมายแล้ว ทำให้พวกกองทุนที่ปล้นคนไทยทั้งหลายเร่งทวงหนี้ และเร่งฟ้องล้มละลายลูกหนี้คนไทย เพื่อเร่งเอาทรัพย์สินขายทอดตลาด และเตรียมขนเงินออกนอกประเทศ กองทุนเหล่านี้สมคบกับ ก.ล.ต. กรมสรรพากร หลีกเลี่ยงภาษีไปนับแสนล้านบาท โดยที่ชาติไม่ได้อะไรเลย และการรู้ไม่เท่ากระบวนการฉ้อฉล ทำให้เจ้าหนี้ต้องแพ้คดีจำนวนมาก แต่เจ้าหนี้ที่รู้เท่าทันสู้คดี และศาลยกฟ้องหมด เพียงแต่น่าเสียดาย คนที่รู้ไม่เท่าทันเพราะเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร ถ้าพิสูจน์ความจริงได้ก็สามารถจะกลับลุกขึ้นยืนมาใหม่ได้ และยังได้รับทรัพย์สินของตัวเองกลับคืนมาด้วยความเป็นธรรม” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า เราจะเปิดให้มีการลงทะเบียน เพื่อแต่งตั้งทนายความในการฟ้องกลับกองทุนที่มิชอบด้วยกฎหมายให้ถึงที่สุด และทวงทรัพย์สินของคนไทยกลับคืนมาด้วยความเป็นธรรม รวมทั้งเราจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ในกรมสรรพากร ก.ล.ต.ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ยอมเรียกกองทุนปล้นชาติที่ไม่ยอมจ่ายภาษีให้กับรัฐ นั่นคือสิ่งที่เราจะทำ เราไม่ใช่เพียงเป็นแค่เพียงภาคประชาชนที่ต่อสู้ในทางการเมืองเท่านั้น แต่เราต่อสู้เพราะความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากการเมือง

“ยกตัวอย่าง บริษัท ธนาคารเกียรตินาคิน เจริญเติบโตมาด้วยการไล่ซื้อหนี้ของ ปรส. และลูกเขยของเกียรตินาคิน ก็คือนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่สำคัญตอนที่นายพงศ์เทพ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีการดำเนินการให้กรมบังคับคดีเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับหลายอย่างเพื่อเอื้อประโยชน์กับเจ้าหนี้ ฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า คนไทยถูกเหยียบย่ำมาตั้งแต่ปี 2540 จากการลดค่าเงินบาท ซึ่งคนซึ่งลดค่าเงินบาทนั้นชื่อทนง พิทยะ และมีความเชื่อโดยที่ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีที่นายสุเทพ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับรู้เรื่องนี้จากนายโภคิน พลกุล ก็เลยทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยจากการลดค่าเงินบาท”แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ

แกนนำพันธมิตรฯ ยังกล่าวถึง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า เป็นคนที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อระบอบทักษิณ โดยเฉพาะในสมัยที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จำได้ใช่ไหมว่า คนๆ นี้ขัดขวางการชุมนุมของพันธมิตรฯ ทุกวิถีทาง รวมทั้งสั่งย้ายตำรวจที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุม ที่สำคัญ พล.ต.อ.จงรัก เป็นคนที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุดจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพราะพระองค์ท่านเป็นคนติดยศให้ แต่ต่อกรณีของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง และรุนแรงของกลุ่มเสื้อแดง พล.ต.อ.จงรัก ไม่เคยแสดงออก เหมือนกับที่มาแสดงออกกับพันธมิตรฯ

“ผมไม่เคยเห็นคุณจงรัก ลุกขึ้นมาแล้วบอกคุณวีระ มุสิกพงศ์ ว่า การพูดจาแบบนี้เป็นการพูดจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ผมไม่เคยเห็นคุณจงรัก ออกมาบอกว่า คุณจักรภพ เพ็ญแข ที่ไปพูดที่สนามหลวงนั้น เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมไม่เคยเห็นคุณจงรักพูดถึงพวกเสื้อแดงอีกหลายต่อหลายคน แต่พอนายสนธิ เอาเรื่องดา ตอร์ปิโด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเล่าให้ประชาชนฟัง คุณจงรักออกอาการเป็นงิ้วเลย ดำเนินคดีนายสนธิ ทันที แต่ทีพวก นปก.บุกทำลายบ้านป๋าเปรมนั้น ตำรวจกลับสั่งไม่ฟ้อง ผมอยากจะถามคุณจงรัก ว่า คุณมีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ แต่พอพันธมิตรฯ ไม่มีคดีไหนที่เขาสั่งไม่ฟ้อง มีแต่สั่งให้เร่งฟ้อง” นายสนธิ ระบุ

นายสนธิ กล่าวถึงผับซานติก้าว่า ถ้าดูให้ดีๆ ก็คือแบบจำลองย่อของประเทศไทย เพราะมันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย โดยเริ่มจากการก่อสร้างแบบผิดกฎหมาย ใบอนุญาตถูกปลอมลายเซ็นโดยวิศวกร ภาษีอากรไม่เคยเสีย เป็นศูนย์กลางค้ายาเสพติดของลูกอดีตผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยที่ไม่อยู่ในตอนนี้ ที่สำคัญตำรวจให้การคุ้มครองสถานที่ที่กฎหมายระบุว่าจุได้ไม่เกิน 500-600 คน แต่กลับแอบจุคนเข้าไป 2,000 กว่าคน พอมีการตาย 66 ศพ ก็วิ่งเต้นเอาเงินยัดตำรวจ เพื่อให้ตำรวจเป่าคดีไปทางอื่น นี่คือรูปแบบย่อของประเทศไทย ฉะนั้นแล้ว ที่เราสู้มานั้นถูกต้องทุกอย่าง และทุกวันจะมีเรื่องมีราวที่พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า พล.ต.อ.จงรัก ต้องเปลี่ยนนามสกุล เป็น “จงรัก ซานติก้า”

“คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พูดคำว่า เด็กสองคนจะทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ รู้หรือเปล่าว่าในโลกนี้ ผู้นำยุคใหม่ อายุ 40 กว่าทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นบารัก โอบามา หรือผู้นำพรรคฝ่ายค้านในอังกฤษ ล้วนอายุน้อยกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช ก็อายุ 45 ปีแล้ว จะมีก็แต่ไอ้เฒ่าเพราะกินข้าว แก่เพราะอยู่นาน ซึ่งไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นอย่าไปขากถุยในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ ที่สำคัญระบอบทักษิณ น่ากลัวมาก เพราะเขาดูถูกนายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ เนื่องจากมีเหตุปัจจัย 3 ด้าน โดยเขาเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกหมด ฉะนั้นแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีคะแนนนิยมลดลง เขาปั่นป่วนทางการเมืองด้วยเสื้อแดง เพื่อลดความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจในทางสากล รวมทั้งกดดันให้รัฐบาลไม่กล้าเปลี่ยนแปลงในฐานอำนาจของระบอบทักษิณ ที่สำคัญคือเขามีการวางเครือข่ายระบอบทักษิณในอำนาจรัฐ” แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า เครือข่ายของระบอบทักษิณ มีอยู่ 3 อำนาจ อำนาจแรก คือ อำนาจพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังแอบตีสองหน้ากับรัฐบาลชุดนี้ และก็ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสมัยหนึ่งนายพินิจ จารุสมบัติ อ้างว่าตัวเองไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ภายหลังจากการยึดอำนาจ 19 กันยาฯ คนที่พูดว่าไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับแอบไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ และไปรายงานว่า ฝ่ายนั้นคิดอย่างไร ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้วางยาเอาไว้กับกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ โดยเขาระบุว่า อย่าไปโกรธนายเนวิน เพราะเขาเป็นคนส่งนายเนวิน เข้าไปเอง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดอย่างนั้น เพราะต้องการส่งสัญญาณบอกนายเนวิน ว่า จะกลับเมื่อไรก็ได้ ฉะนั้นวันนี้กลุ่มนายเนวินก็เลยขี่พรรคประชาธิปัตย์

“ส่วนอำนาจที่ 2 คือ อำนาจราชการของระบอบทักษิณ ที่ยังมีเครือข่ายวางยาอำนาจรัฐบาลอยู่ นั่นก็คือ ตำรวจ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เพราะจำได้หรือไม่ว่า ตอนที่กลุ่มเสื้อแดงเดินจากสนามหลวงมาตีพันธมิตรฯ ครั้งแรก แต่ตำรวจกลับอ้างว่ากันไม่ได้ เพราะกลุ่มเสื้อแดงมาเป็นหมื่นๆ คน ตำรวจเขามีไม่กี่ร้อยคน เขาจึงห้ามไม่ได้ พล.ต.อ.จงรัก จึงเป็นคนแปลก เพราะเป็นถึงพลตำรวจเอก แต่สอบตกเลข เวลามองกลุ่มเสื้อแดงบอกว่ามาเป็นหมื่นๆ ทั้งๆ ที่มีแค่พัน สองพัน คน แต่พอมองพันธมิตรฯ กลับบอกว่ามีไม่กี่ร้อย กี่พันคน สำหรับอำนาจที่ 3 คือ อำนาจของบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ซึ่งยังมีเครือข่ายของระบอบทักษิณอยู่ทั่วไป ขอยกตัวอย่างเรื่องเงินคงคลัง ซึ่งหมายถึงเงินที่เหลือเอาไว้ใช้ แต่เงินคงคลังนั้นมีความไม่แน่นอน ส่วนเงินคงคลังของประเทศ มีรายได้มาจากภาษีอากร และภาษีสรรพสามิต” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า ในสมัยที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรัฐบาลตั้งแต่ ธ.ค.39 ถึง พ.ย.40 มีเงินคงคลังสูงสุด 313,828 ล้านบาท หมายถึงในช่วงเวลาๆ หนึ่ง จะมีเงินสดอยู่ในมือรัฐบาลถึง 3 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันในช่วงเวลาๆ หนึ่ง มีเงินคงคลังต่ำสุดเมื่อพ้นจากตำแหน่ง ก็คือ 247,847 ล้านบาท จนมาถึงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นรัฐบาล ตั้งแต่ ธ.ค.40 - พ.ย.43 มีเงินคงคลังสูงสุด 252,000 ล้านบาท และต่ำสุด 37,200 ล้านบาท พอมาถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ในเดือน ก.พ.44 – ก.ย.49 มีเงินคงคลังสูงสุด 147,200 ล้านบาท และมีเงินคงคลังต่ำสุด 12,200 ล้านบาท ต่อมาคือชุดของนายสมัคร สุนทรเวช เงินคงคลังสูงสุด 188,900 ล้านบาท ต่ำสุด 54,500 ล้านบาท

“จากนั้นคือรัฐบาลชุดนายสมชาย มีเงินคงคลังสูงสุด 229,000 ล้านบาท ต่ำสุด 91,000 ล้านบาท แปลว่าการที่จะมีเงินคงคลังต่ำถึง 40,000 - 50,000 ล้าน ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรามาดูเหตุผลของการโจมตีในครั้งนี้ เขาโจมตีบนพื้นฐานของความไม่รู้ เพราะเข้าใจว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์บริหารชาติเจ๊ง จนไม่มีเงินเหลือ เหลือแค่ 50,000 กว่าล้าน ฉะนั้นถ้าไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชดำเนินก็จะเชื่อคำพูดนี้ แต่ถ้าเป็นนักศึกษาราชดำเนิน นักศึกษาต้องถามตัวเองว่า ประการแรก นายอภิสิทธิ์ เพิ่งเข้ามาได้ 2 อาทิตย์ ไอ้เงินคงคลังที่มันเหลือมาจากยุคนายสมชาย ส่วนเงินคงคลังที่ปรากฏออกมาเป็นข่าวนั้น เป็นผลจากการคำนวณเงินคงคลังของเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม แต่นายอภิสิทธิ์เพิ่งได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองเมื่อต้นเดือน ม.ค. เหลืออยู่ 50,000 ล้านบาท” นายสนธิ กล่าว

แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า จำได้หรือไม่ว่า เขาลดราคาน้ำมันเพื่อที่จะเอาใจประชาชน แล้วมันก็มาสะท้อนคืนในเงินคงคลังที่เหลือ ไอ้ประเภทลดราคาเพื่อเอาใจประชาชนนั้น รัฐบาลชุดไหนก็ไม่เก่งเท่ารัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ว่าเป็นการลดราคาเพื่อหวังผล อีกคนหนึ่ง คือ ปลัดกระทรวงการคลัง คนนี้ ขยันเกินเหตุ คือ กรมสรรพากร คืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เกือบ 20,000 ล้าน ทั้งๆ ที่รายได้เก็บไม่เข้าเป้า คิดเป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบกัน โดยปีนี้การคืนภาษีอากร ของกรมสรรพากร เก็บคืนเพิ่มให้ตั้งเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่รายได้ไม่เข้าเป้า

“แล้วพี่น้องทุกคนมีปัญหาสรรพากรทั้งนั้น สรรพากรมันคืนเงินให้พี่น้องง่ายๆ หรือเปล่า ไม่มี เพราะฉะนั้นมันมีข้อสงสัยว่า มันเป็นการคืนให้กับภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นลม ประเภทยอดการส่งออกที่เป็นลม เข้าใจไหม ส่งตู้คอนเทนเนอร์ไปเมืองนอก แต่ในตู้มีแต่ลม แล้วอ้างว่าส่งไปมูลค่าเท่านี้ ขอเรียกคืนภาษี ไม่มีการตรวจสอบ นี่คือฝีมือของปลัดกระทรวงการคลังในระบอบทักษิณ ที่สำคัญในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่รัฐวิสาหกิจทุกแห่งขอเงินรัฐบาลหมดเลย ขอกู้มา 500,000 ล้านบาท ร้อยวันพันปีในสมัยสมัคร สมชาย มันเคยขอไหม ดันมาขอกันตอนนี้ เพราะทำให้เหมือนกับว่าวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องเจ๊งแน่นอนแล้ว”

นายสนธิ ยังกล่าวถึงนายโอฬาร ไชยประวัติ ว่า ที่นายโอฬารออกมาระบุว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบ 4 เปอร์เซ็นต์ บ้าไปแล้ว นั่นเป็นเพราะอำนาจ วาสนา และผลประโยชน์ ทำให้คนมันตาบอด ขนาดคนที่เคยเป็นรองผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ แต่กลับมาเสียผู้เสียคนเมื่อมาเป็นประธานสภามหาวิทยาลัยชินวัตร แล้วได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกฯ ก็เลยออกมาปกป้อง แล้วก็ทำลายฝ่ายตรงกันข้าม โดยที่ละทิ้งจิตวิญญาณ ของนักวิชาการที่แท้จริง เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของมายาภาพ เป็นเรื่องของเล่ห์กล เป็นเรื่องของการวางหมากกันทั้งสิ้น

อ่าน คำต่อคำ"สนธิ ลิ้มทองกุล"ปราศรัย






กำลังโหลดความคิดเห็น