“บีโอไอ” จัดงานใหญ่ฟื้นความเชื่อมั่น ศก.เปิดเวที “มาร์ค” กล่อมนักลงทุนทั่วโลกใกล้ชิดโดยตรง พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวัน หวังดึงรายเก่าไม่ให้ตีจาก และจูงใจรายใหม่ให้มั่นใจศักยภาพพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์ เตรียมแผนตอกย้ำรอบ 2 เดินทางโรดโชว์ต่างประเทศ 6 ก.พ.นี้ ประเดิมญี่ปุ่น-จีน ขณะที่ ส.อ.ท.-หอการค้าฯ ประกาศหนุนสุดตัว
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้จัดงาน “นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน” ในวันนี้ (19 ม.ค.) ที่โรงแรมดุสิตธานี ซึ่งเป็นการพบปะอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับบรรดาผู้นำจากบริษัทภาคเอกชนทั่วโลกที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยนายกรัฐมนตรีเตรียมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่องแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบขนส่งของประเทศ เพื่อให้นักธุรกิจมั่นว่าหากเกิดปัญหาขึ้นก็จะมีแผนรองรับ
ภายในงานจะมีนักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว คาดว่ามีจำนวนกว่า 600 คน เข้ามาร่วมรับฟังการบรรยาย โดยนายกรัฐมนตรีจะปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษ และจะมีการแปลเป็นภาษาไทย และญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด พร้อมกับร่วมรับประทานอาหารกลางวัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด
นอกจากนี้ ภายในงานนี้บีโอไอจะพยายามให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ แก่นักธุรกิจ เพื่อจูงใจให้เข้ามาลงทุน หรือที่ลงทุนอยู่แล้วก็สามารถขยายการลงทุนในไทยต่อไป ไม่หนีหายไปประเทศอื่น เพราะขณะนี้ไทยมีรัฐบาลและภาพรวมของการเมืองก็ค่อนข้างนิ่ง ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เป็นการเริ่มปูพื้นฐานก่อนเดินแผน 2 ให้นายกฯ เดินทางโรดโชว์ต่างประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า การปาฐกถาพิเศษในครั้งนี้ รัฐบาลจะมีแผนการพัฒนาระบบขนส่งของประเทศ เพื่อเป็นการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งไม่ใช่รองรับความไม่แน่นอนในประเทศอย่างเดียว แต่พร้อมจะรองรับหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ เช่น ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบขนส่งของประเทศ เพื่อให้นักธุรกิจมั่นใจต่อระบบขนส่งของไทย
โดยคาดว่า ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วยว่ารัฐบาลจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นเฉพาะในวงของนักการเมือง ไม่ให้ลุกลามไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม และไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยจะรับฟังและตอบคำถามจากนักลงทุนด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนในเอเชีย
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตนเองได้รับเชิญให้เข้าร่วมในงานครั้งนี้ด้วย เช่นเดียวกับหอการค้าต่างประเทศ กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยมองว่า การจัดงานในครั้งนี้จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังไว้มาก
“ผมมั่นใจว่า การที่นายกรัฐมนตรีมาพบปะนักลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น เพราะนายกรัฐมนตรีน่าจะพูดถึงแนวทาง หรือมาตรการให้การสนับสนุนการลงทุน โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ที่พูดถึงมานานและต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน หากทุกอย่างเป็นไปตามที่รัฐประกาศไว้ จะทำให้มีการลงทุนมากขึ้น ความเชื่อมั่นกลับคืนมาและเศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้”
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย โดยมองว่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีในเรื่องการลงทุนของประเทศไทย เพราะเป็นการเปิดเวทีให้นายกฯ สื่อสารข้อมูลถึง กลุ่มนักธุรกิจโดยตรง แทนที่จะต้องติดตามผ่านสื่อเพียงทางเดียว เชื่อว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาลที่จะทำต่อจากนี้ไป
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 นี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะนำนักธุรกิจเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อโรดโชว์เป็นชาติแรก หวังดึงการลงทุนเข้าประเทศ เนื่องจากเห็นว่านักธุรกิจญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากเป็นอันดับต้นๆ โดยจะเชิญชวนผู้ประกอบการรายใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก
หลังจากนั้น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2552 นายกรัฐมนตรีจะเป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปประเทศจีน เพื่อโรดโชว์ดึงการลงทุนเข้าประเทศเช่นกัน
นายชาญชัย กล่าวยืนยันว่า นักธุรกิจต่างชาติที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ ขณะนี้ ยังไม่พบว่ามีการถอนการลงทุนกลับประเทศตามที่เป็นข่าว และประเทศไทยมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังรวบรวมข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นของนักลงทุนที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเพื่อพิจารณาต่อไป