“อภิสิทธิ์” เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมเปิดเผยว่าการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาทของรัฐบาล เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้
วันนี้ (14 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2552 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันนี้ว่า ในส่วนของกระทรวงการคลังจะรายงานเรื่องงบลงทุนที่ยังค้างอยู่ในระบบทั้งในส่วนของรัฐวิสาหกิจและบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวม 500,000 ล้านบาท และงบข้าราชการปีงบประมาณ 2552 จำนวนกว่า 300,000 ล้านบาท ให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงได้รับทราบ เพื่อนำไปประสานและมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งรัดการเบิกจ่าย เพื่อผลัดดันให้การลงทุนเกิดขึ้นจริงในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป ส่วนมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ได้ข้อเสนอที่ลงตัวแล้ว โดยจะนำไปหารือนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ามาตรการหลักในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าของรัฐบาล คือ มาตรการอัดฉีดงบกลางปี จำนวน 1.15 ล้านบาท สู่มือประชาชน รวมทั้งการผลักดันให้การเบิกจ่ายดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงยอมรับว่ายังไม่เห็นจังหวะที่เหมาะสมในการปรับลดภาษีในขณะนี้
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท โดยยืนยันว่า เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่าไม่มีปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล หลังแต่ละโครงการจัดสรรงบให้ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะโครงการถนนปลอดฝุ่น ซึ่งมีข่าวออกมาว่ากลุ่มเพื่อนเนวินไม่พอใจที่ได้งบประมาณน้อยกว่าที่เสนอไป เพราะก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว พร้อมชี้แจงว่าไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงในพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคร่วมรัฐบาล อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนไม่จำเป็นต้องใช้ต่อเนื่องเพราะในปี 2553 การจัดงบประมาณก็จะเปลี่ยนไป โดยจะมีโครงการลงทุนในลักษณะของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่า 14,000 บาทเดือนละ 2,000 บาทว่า มาตรการนี้จะเป็นการช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว จะสามารถเห็นผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ และสามารถตรวจสอบจากการใช้จ่ายในประเทศของประชาชนว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่