ASTVผู้จัดการรายวัน - หนีไม่พ้น!ที่อยู่อาศัยลอตใหม่ขึ้นราคาแน่ นายกสมาคมบ้านจัดสรรฟันธงครึ่งหลังปี 54 ปรับราคาแพง โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยว หลังต้นทุนก่อสร้าง ค่าแรง เงินเฟ้อ พุ่งพรวด ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวราคา 1 ล้านบาทเศษคงพัฒนายาก เตือนจัดสรร รายกลาง-เล็ก บริหารสภาพคล่องให้ดี ด้านสผม.แจงใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวมกทม.
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวถึงตลาดบ้านจัดสรรในปี 2554 ว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่หันไปพัฒนาโครงการแนวสูง หรือที่ไม่เคยพัฒนาแนวราบเลย ได้หันมาสนใจพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ราคา 1 ล้านบาทต้นๆมากขึ้น เพราะทำให้รับรู้รายได้เร็ว อีกทั้งเป็นการสร้างความสมดุลของรายได้ในพอร์ตด้วย
“ ต่อไปบ้านเดี่ยวระดับราคา 1 ล้านบาทเศษ จะหายากมากขึ้นเพราะต้นทุนสูง ในขณะที่ปัจจุบันยังมีบ้านระดับราคาดังกล่าวยังมีจำนวนหน่วยเหลืออยู่จำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถปรับราคาได้มากนัก การแข่งขันด้านแคมเปญจึงค่อนข้างร้อนแรง แต่เชื่อว่าในไตรมาส 3-4 นี้จะได้เห็นการปรับราคาของบ้านเดี่ยวมากขึ้น จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ค่าแรงงานที่ขยับ รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ”
นายอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนที่ระบบขนส่งมวลชนขยายตัวไปสู่ชานเมืองมากขึ้น จะมีผู้ประกอบการหันไปพัฒนาโครงการแนวราบรองรับดีมานด์ในย่านต่างๆเพิ่ม ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่มากขึ้น
ส่วนปัญหาเรื่องเงินเฟ้อนั้นตนคิดว่าไม่ได้เกิดจากความต้องการ(ดีมานด์) แต่เกิดจากการเพิ่มของต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องแบกรับภาระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ผู้ประกอบการพยายามระบายสินค้า(สต๊อก)บ้านและคอนโดฯ เพื่อเร่งปิดการขายให้เร็วขึ้น โดยอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย เช่น ซื้อคอนโดฯ 2 ยูนิต รับฟรีอีก 1 ยูนิต หรือกู้ได้ 100% เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3 และ4 ของปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกมาสู่ตลาดจำนวนมาก จนมีจำนวนยูนิตเหลือขายค่อนข้างมากและยังส่วนใหญ่เป็นต้นทุนก่อสร้างเดิม
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ประกาศปรับราคาบ้านล็อตใหม่ตามต้นทุนที่สูงขึ้น อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ 3-5 % ซึ่งจะเริ่มเห็นในช่วงเดือนมี.ค.นี้ เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่จากบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ 3-5%, บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ 6-7% เป็นต้น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการพยายามหานวัตกรรมหรือออกแบบบ้านที่พื้นที่ใช้สอยลดลง เพื่อบริหารราคาขายบ้าน แต่ถึงกระนั้น อสังหาฯประเภททรัพย์บ้านมือสอง น่าจะเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อได้ เนื่องจากปริมาณในระบบมีอยู่หลายแสนหน่วย ที่กระจายไปอยู่ในโบรกเกอร์บ้านมือสอง ทรัพย์ที่อยู่ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพ พาณิชย์ จำกัด (บสก.) ที่จัดสรรงบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงทรัพย์ หรือ โครงการให้พร้อมอยู่ ในระดับที่ไม่สูง ดังนั้น หากรัฐบาล หากมาตรการหรือสิทธิประโยชน์ ในการส่งเสริมตลาดบ้านมือให้เกิดความสนใจ น่าจะเป็นทางเลือกและทางออกที่เปิดกว้างให้ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านได้พิจารณา
ขณะที่ บริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ทยอยแจ้งผลประกอบการในปี 53 ในเบื้องต้น มีรายได้รวมสูงถึง 1.51 แสนล้านบาท กำไรสุทธิประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท
เตือนรายกลาง-เล็กบริหารสภาพคล่อง
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า แม้ในปี 53 ที่ผ่านมา จะมีการเปิดตัวคอนโดฯมากที่สุดในรอบ 13 ถึง 67,000 ยูนิต และในไตรมาส4 ของปีเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวว่า คอนโดฯจะเกิดภาวะฟองสบู่ จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องออกมาตรการ LTV มาสกัด ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างคิดหนักว่าควรที่จะพัฒนาโครงการใหม่หรือจะชะลอการพัฒนาดี แต่ในภาพรวมตนมองว่ายังไม่ส่งผลกับผู้ซื้อมากนัก เพราะผู้ประกอบการสามารถจัดแคมเปญลดราคาเพื่อดันยอดขายได้
" ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก มีส่วนแบ่งตลาดคอนโดฯสัดส่วนประมาณ 25% ซึ่งถือว่ายังน้อยมาก แต่ในแง่ของการแข่งขันถือว่ายังมีอุปสรรคมาก โดยเฉพาะรายกลาง-เล็ก จะต้องระมัดระวังการลงทุนในเรื่องสภาพคล่องทางการเงินให้ได้ มิเช่นนั้นจะมีปัญหาได้"
ด้านนายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าในปี 53 ที่ผ่านมามีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาฯมีการเติบโตสูง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ มีจำนวนยูนิตเพิ่มจาก 8,000 เป็น 12,000 ยูนิต แต่ปัจจุบันทุกอย่างได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
“สิ่งที่รัฐบาลควรทำในขณะนี้ คือ ความมีเสถียรภาพ และการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ด้วยการเน้นเปิดแนวรถไฟฟ้าสายอื่นๆที่วางแผนเอาไว้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้นำที่ดินที่มีอยู่แล้วออกมาพัฒนาโครงการรองรับดีมานด์และความเจริญเติบโต”
เป้าขายมหกรรมบ้านฯกว่า3พันล้าน
ด้านนายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง ประธานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 24 กล่าวว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 24 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 มี.ค.นี้ ณ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และพลาซ่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 600 โครงการ โดยตั้งเป้าตลอด 4 วันจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน มียอดขายที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมกันไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และมียอดสินเชื่อมากกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
สผม.แจงใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวมกทม.
น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กล่าวว่า ผลการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทตามผังเมืงอรวมกทม.นั้น พบว่า บริเวณที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) มีการใช้ประโยชน์มากที่สุดบริเวณ ย.2 ในเขตทุ่งครุ รองลงมาได้แก่บริเวณ ย.4 ในเขตประเวศ และย.1 ในพื้นที่เขตคันนายาว
ที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) มากที่สุดบริเวณ ย.6 ในเขตบางขุนเทียน รองลงมาได้แก่ ย.7 ในเขตวัฒนา ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีน้ำตาล ) บริเวณ ย.10 ในเขตคลองเตย และย.9 ในพื้นที่เขตบางคอแหลม
ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม(สีแดง) บริเวณ พ.3 ในเขตปทุมวัน รองลงมาได้แก่บริเวณ พ.4 ในเขตบางนา และพ.1ในพื้นที่บึงกุ่ม เป็นต้น
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวถึงตลาดบ้านจัดสรรในปี 2554 ว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่หันไปพัฒนาโครงการแนวสูง หรือที่ไม่เคยพัฒนาแนวราบเลย ได้หันมาสนใจพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ราคา 1 ล้านบาทต้นๆมากขึ้น เพราะทำให้รับรู้รายได้เร็ว อีกทั้งเป็นการสร้างความสมดุลของรายได้ในพอร์ตด้วย
“ ต่อไปบ้านเดี่ยวระดับราคา 1 ล้านบาทเศษ จะหายากมากขึ้นเพราะต้นทุนสูง ในขณะที่ปัจจุบันยังมีบ้านระดับราคาดังกล่าวยังมีจำนวนหน่วยเหลืออยู่จำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถปรับราคาได้มากนัก การแข่งขันด้านแคมเปญจึงค่อนข้างร้อนแรง แต่เชื่อว่าในไตรมาส 3-4 นี้จะได้เห็นการปรับราคาของบ้านเดี่ยวมากขึ้น จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ค่าแรงงานที่ขยับ รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ”
นายอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนที่ระบบขนส่งมวลชนขยายตัวไปสู่ชานเมืองมากขึ้น จะมีผู้ประกอบการหันไปพัฒนาโครงการแนวราบรองรับดีมานด์ในย่านต่างๆเพิ่ม ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่มากขึ้น
ส่วนปัญหาเรื่องเงินเฟ้อนั้นตนคิดว่าไม่ได้เกิดจากความต้องการ(ดีมานด์) แต่เกิดจากการเพิ่มของต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องแบกรับภาระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ผู้ประกอบการพยายามระบายสินค้า(สต๊อก)บ้านและคอนโดฯ เพื่อเร่งปิดการขายให้เร็วขึ้น โดยอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย เช่น ซื้อคอนโดฯ 2 ยูนิต รับฟรีอีก 1 ยูนิต หรือกู้ได้ 100% เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3 และ4 ของปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกมาสู่ตลาดจำนวนมาก จนมีจำนวนยูนิตเหลือขายค่อนข้างมากและยังส่วนใหญ่เป็นต้นทุนก่อสร้างเดิม
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ประกาศปรับราคาบ้านล็อตใหม่ตามต้นทุนที่สูงขึ้น อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ 3-5 % ซึ่งจะเริ่มเห็นในช่วงเดือนมี.ค.นี้ เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่จากบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ 3-5%, บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ 6-7% เป็นต้น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการพยายามหานวัตกรรมหรือออกแบบบ้านที่พื้นที่ใช้สอยลดลง เพื่อบริหารราคาขายบ้าน แต่ถึงกระนั้น อสังหาฯประเภททรัพย์บ้านมือสอง น่าจะเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อได้ เนื่องจากปริมาณในระบบมีอยู่หลายแสนหน่วย ที่กระจายไปอยู่ในโบรกเกอร์บ้านมือสอง ทรัพย์ที่อยู่ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพ พาณิชย์ จำกัด (บสก.) ที่จัดสรรงบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงทรัพย์ หรือ โครงการให้พร้อมอยู่ ในระดับที่ไม่สูง ดังนั้น หากรัฐบาล หากมาตรการหรือสิทธิประโยชน์ ในการส่งเสริมตลาดบ้านมือให้เกิดความสนใจ น่าจะเป็นทางเลือกและทางออกที่เปิดกว้างให้ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านได้พิจารณา
ขณะที่ บริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ทยอยแจ้งผลประกอบการในปี 53 ในเบื้องต้น มีรายได้รวมสูงถึง 1.51 แสนล้านบาท กำไรสุทธิประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท
เตือนรายกลาง-เล็กบริหารสภาพคล่อง
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า แม้ในปี 53 ที่ผ่านมา จะมีการเปิดตัวคอนโดฯมากที่สุดในรอบ 13 ถึง 67,000 ยูนิต และในไตรมาส4 ของปีเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวว่า คอนโดฯจะเกิดภาวะฟองสบู่ จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องออกมาตรการ LTV มาสกัด ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างคิดหนักว่าควรที่จะพัฒนาโครงการใหม่หรือจะชะลอการพัฒนาดี แต่ในภาพรวมตนมองว่ายังไม่ส่งผลกับผู้ซื้อมากนัก เพราะผู้ประกอบการสามารถจัดแคมเปญลดราคาเพื่อดันยอดขายได้
" ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก มีส่วนแบ่งตลาดคอนโดฯสัดส่วนประมาณ 25% ซึ่งถือว่ายังน้อยมาก แต่ในแง่ของการแข่งขันถือว่ายังมีอุปสรรคมาก โดยเฉพาะรายกลาง-เล็ก จะต้องระมัดระวังการลงทุนในเรื่องสภาพคล่องทางการเงินให้ได้ มิเช่นนั้นจะมีปัญหาได้"
ด้านนายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าในปี 53 ที่ผ่านมามีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาฯมีการเติบโตสูง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ มีจำนวนยูนิตเพิ่มจาก 8,000 เป็น 12,000 ยูนิต แต่ปัจจุบันทุกอย่างได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
“สิ่งที่รัฐบาลควรทำในขณะนี้ คือ ความมีเสถียรภาพ และการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ด้วยการเน้นเปิดแนวรถไฟฟ้าสายอื่นๆที่วางแผนเอาไว้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้นำที่ดินที่มีอยู่แล้วออกมาพัฒนาโครงการรองรับดีมานด์และความเจริญเติบโต”
เป้าขายมหกรรมบ้านฯกว่า3พันล้าน
ด้านนายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง ประธานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 24 กล่าวว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 24 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 มี.ค.นี้ ณ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และพลาซ่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 600 โครงการ โดยตั้งเป้าตลอด 4 วันจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน มียอดขายที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมกันไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และมียอดสินเชื่อมากกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
สผม.แจงใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวมกทม.
น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กล่าวว่า ผลการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทตามผังเมืงอรวมกทม.นั้น พบว่า บริเวณที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) มีการใช้ประโยชน์มากที่สุดบริเวณ ย.2 ในเขตทุ่งครุ รองลงมาได้แก่บริเวณ ย.4 ในเขตประเวศ และย.1 ในพื้นที่เขตคันนายาว
ที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) มากที่สุดบริเวณ ย.6 ในเขตบางขุนเทียน รองลงมาได้แก่ ย.7 ในเขตวัฒนา ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีน้ำตาล ) บริเวณ ย.10 ในเขตคลองเตย และย.9 ในพื้นที่เขตบางคอแหลม
ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม(สีแดง) บริเวณ พ.3 ในเขตปทุมวัน รองลงมาได้แก่บริเวณ พ.4 ในเขตบางนา และพ.1ในพื้นที่บึงกุ่ม เป็นต้น