บิ๊กเมืองไทยประกันชีวิต คาดธุรกิจประกันชีวิตปี 52 ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ จากระดับ 16% ลงเหลือประมาณ 5-6% คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 9 แสนล้าน ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต และนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในปี 2552 จะเติบโตประมาณร้อยละ 5-6 โดยอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่า อาจจะขยายตัวร้อยละ 0-2
นายสาระ กล่าวว่า ภาพดังกล่าวแตกต่างจากปี 2551 ที่ธุรกิจประกันชีวิตขยายตัวประมาณร้อยละ 16 เบี้ยรับรวม 200,000 ล้านบาท โดยประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิตมากขึ้นว่า เป็นผลประโยชน์ในการคุ้มครองและเป็นการออมเงิน ประกอบกับรูปแบบของประกันชีวิตมีการพัฒนาที่หลากหลายเพื่อให้ตรงใจกับประชาชน และมีช่องทางการจำหน่ายในหลายช่องทาง ทั้งผ่านตัวแทนและสาขาธนาคารพาณิชย์ ทำให้ในปี 2551 ธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการขยายตัวในอัตราที่ดี
“ยอมรับว่าในช่วงเกิดวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ และมีผลกระทบมาถึงธุรกิจประกันชีวิต ประชาชนตื่นตระหนกบ้างในช่วงแรก แต่หลังจากที่สำนักงานคณะกรรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันชีวิต ออกมายืนยันว่า ธุรกิจประกันภัยของไทยไม่มีปัญหา ก็ทำให้ความมั่นใจของลูกค้ากลับมา” นายสาระ กล่าว
นายสาระยืนยันว่า ธุรกิจประกันชีวิตจะไม่มีปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว 10 ปีขึ้นไป และลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ ขึ้นไป ความเสี่ยงจึงมีต่ำ และเน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง ก็ไม่มีผล เพราะบริษัทประกันชีวิตจะลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้จนครบอายุ นอกจากนี้ยังยืนยันว่า เงินกองทุนและเงินสำรองมีสูงเพียงพอตามกฎเกณฑ์ของ คปภ.
“ขณะนี้ในธุรกิจประกันชีวิตมีเงินหมุนเวียนประมาณ 900,000 ล้านบาท ซึ่งเน้นการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาลมีการออกพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนเหมาะสม ธุรกิจประกันชีวิตก็พร้อมที่จะเข้าลงทุน ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาลได้” นายสาระ กล่าว
นายสาระกล่าวด้วยว่า ในปี 2551 บริษัทมีอัตราการเติบโตสูง โดยในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน มีเบี้ยประกันรับรวม 15,446 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 25.8 และคาดว่าทั้งปีจะได้ตามเป้าหมายคือ มีเบี้ยประกันรับรวม 17,400 ล้านบาท และมีเงินกองทุน 6,833 ล้านบาท สูงถึงร้อยละ 746 เมื่อเทียบกับเงินกองทุนที่ คปภ.กำหนด
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต และนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในปี 2552 จะเติบโตประมาณร้อยละ 5-6 โดยอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่า อาจจะขยายตัวร้อยละ 0-2
นายสาระ กล่าวว่า ภาพดังกล่าวแตกต่างจากปี 2551 ที่ธุรกิจประกันชีวิตขยายตัวประมาณร้อยละ 16 เบี้ยรับรวม 200,000 ล้านบาท โดยประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิตมากขึ้นว่า เป็นผลประโยชน์ในการคุ้มครองและเป็นการออมเงิน ประกอบกับรูปแบบของประกันชีวิตมีการพัฒนาที่หลากหลายเพื่อให้ตรงใจกับประชาชน และมีช่องทางการจำหน่ายในหลายช่องทาง ทั้งผ่านตัวแทนและสาขาธนาคารพาณิชย์ ทำให้ในปี 2551 ธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการขยายตัวในอัตราที่ดี
“ยอมรับว่าในช่วงเกิดวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ และมีผลกระทบมาถึงธุรกิจประกันชีวิต ประชาชนตื่นตระหนกบ้างในช่วงแรก แต่หลังจากที่สำนักงานคณะกรรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันชีวิต ออกมายืนยันว่า ธุรกิจประกันภัยของไทยไม่มีปัญหา ก็ทำให้ความมั่นใจของลูกค้ากลับมา” นายสาระ กล่าว
นายสาระยืนยันว่า ธุรกิจประกันชีวิตจะไม่มีปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว 10 ปีขึ้นไป และลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ ขึ้นไป ความเสี่ยงจึงมีต่ำ และเน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง ก็ไม่มีผล เพราะบริษัทประกันชีวิตจะลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้จนครบอายุ นอกจากนี้ยังยืนยันว่า เงินกองทุนและเงินสำรองมีสูงเพียงพอตามกฎเกณฑ์ของ คปภ.
“ขณะนี้ในธุรกิจประกันชีวิตมีเงินหมุนเวียนประมาณ 900,000 ล้านบาท ซึ่งเน้นการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาลมีการออกพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนเหมาะสม ธุรกิจประกันชีวิตก็พร้อมที่จะเข้าลงทุน ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาลได้” นายสาระ กล่าว
นายสาระกล่าวด้วยว่า ในปี 2551 บริษัทมีอัตราการเติบโตสูง โดยในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน มีเบี้ยประกันรับรวม 15,446 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 25.8 และคาดว่าทั้งปีจะได้ตามเป้าหมายคือ มีเบี้ยประกันรับรวม 17,400 ล้านบาท และมีเงินกองทุน 6,833 ล้านบาท สูงถึงร้อยละ 746 เมื่อเทียบกับเงินกองทุนที่ คปภ.กำหนด
