ไทยประกันชีวิตสวนกระแสเศรษฐกิจการเมืองโชว์ผลดำเนินงาน 9 เดือนปั๊มเบี้ยใหม่เพิ่มกว่า 5 พันล้านบาท สินทรัพย์รวม 1.3 แสนล้านบาท เงินสำรองกว่า 1 แสนล้านบาท ฐานะเงินกองทุน 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมผุดกรมธรรม์ใหม่รุกตลาดไตรมาสสุดท้าย คาดดันเบี้ยเป็นไปตามเป้าหมาย
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการช่วง 9 เดือน ว่า บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 5,692 ล้านบาท เบี้ยประกันรับปีแรกรวมเบี้ยประกันชำระครั้งเดียวตามสัดส่วน 4,212 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7% เบี้ยประกันรับปีต่อไป 15,379 ล้านบาท เติบโต 8% และเบี้ยประกันรับรวม 21,285 ล้านบาท
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา จะมีกระแสข่าววิกฤตการณ์ทางการเงินในต่างประเทศ และส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจประกันชีวิตในไทย แต่ธุรกิจประกันชีวิตยังคงมีความมั่นคงสูง เนื่องจากภาครัฐคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) มีกฎเกณฑ์ในการดำรงเงินสำรองประกันชีวิต และเงินกองทุนที่รัดกุม ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตทุกแห่งมีการดำรงเงินสำรองและเงินกองทุนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ จากสถิติของสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า ในปี 2550 ธุรกิจประกันชีวิตมีสินทรัพย์รวม 817,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ถึง 16.15% เงินสำรองประกันภัยสูงถึง 645,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.61% และเงินกองทุน 110,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.61% สะท้อนถึงความมั่นคงของธุรกิจได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นหลักเกณฑ์ด้านการลงทุน ยังถูกกำหนดไม่ให้เกิดความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยกำหนดเพดานการลงทุนในแต่ละประเภท ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ คปภ.อนุมัติให้สามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่สูงนัก และลงทุนได้เฉพาะในพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสหกิจต่างประเทศ และหุ้นกู้บริษัทไทยเท่านั้น
ในส่วนสถานะทางการเงินของไทยประกันชีวิตมีความมั่นคงสูงเช่นกัน โดยปัจจุบันไทยประกันชีวิตมีสินทรัพย์รวม 130,484 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิต 109,361 ล้านบาท และเงินกองทุน 12,115 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนจำนวน 87.32% จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ เงินฝาก และตั๋วเงินในธนาคารของไทยที่มีความมั่นคงสูง ที่เหลือเป็นการลงทุนประเภทอื่นๆ ส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 8.66% ซึ่งเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจต่างประเทศ และหุ้นกู้บริษัทไทยที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ โดยต้องเป็นหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB เท่านั้น
“ในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทฯ เตรียมออกกรมธรรม์ใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งคาดว่าจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และช่วยผลักดันให้เบี้ยประกันรับใหม่ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,500 ล้านบาทอย่างแน่นอน” นายไชยกล่าว
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการช่วง 9 เดือน ว่า บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 5,692 ล้านบาท เบี้ยประกันรับปีแรกรวมเบี้ยประกันชำระครั้งเดียวตามสัดส่วน 4,212 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7% เบี้ยประกันรับปีต่อไป 15,379 ล้านบาท เติบโต 8% และเบี้ยประกันรับรวม 21,285 ล้านบาท
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา จะมีกระแสข่าววิกฤตการณ์ทางการเงินในต่างประเทศ และส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจประกันชีวิตในไทย แต่ธุรกิจประกันชีวิตยังคงมีความมั่นคงสูง เนื่องจากภาครัฐคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) มีกฎเกณฑ์ในการดำรงเงินสำรองประกันชีวิต และเงินกองทุนที่รัดกุม ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตทุกแห่งมีการดำรงเงินสำรองและเงินกองทุนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ จากสถิติของสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า ในปี 2550 ธุรกิจประกันชีวิตมีสินทรัพย์รวม 817,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ถึง 16.15% เงินสำรองประกันภัยสูงถึง 645,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.61% และเงินกองทุน 110,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.61% สะท้อนถึงความมั่นคงของธุรกิจได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นหลักเกณฑ์ด้านการลงทุน ยังถูกกำหนดไม่ให้เกิดความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยกำหนดเพดานการลงทุนในแต่ละประเภท ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ คปภ.อนุมัติให้สามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่สูงนัก และลงทุนได้เฉพาะในพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสหกิจต่างประเทศ และหุ้นกู้บริษัทไทยเท่านั้น
ในส่วนสถานะทางการเงินของไทยประกันชีวิตมีความมั่นคงสูงเช่นกัน โดยปัจจุบันไทยประกันชีวิตมีสินทรัพย์รวม 130,484 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิต 109,361 ล้านบาท และเงินกองทุน 12,115 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนจำนวน 87.32% จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ เงินฝาก และตั๋วเงินในธนาคารของไทยที่มีความมั่นคงสูง ที่เหลือเป็นการลงทุนประเภทอื่นๆ ส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 8.66% ซึ่งเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจต่างประเทศ และหุ้นกู้บริษัทไทยที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ โดยต้องเป็นหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB เท่านั้น
“ในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทฯ เตรียมออกกรมธรรม์ใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งคาดว่าจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และช่วยผลักดันให้เบี้ยประกันรับใหม่ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,500 ล้านบาทอย่างแน่นอน” นายไชยกล่าว