เอชเอสบีซีไม่สนเศรษฐกิจซบ อัดฉีดเงินเพิ่มทุน 2,450 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ยันยังสนใจเข้าซื้อสถาบันการเงินอยู่ รอจังหวะและราคาเอื้อต่อการลงทุน
นายวิลลี แทม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จำกัด หรือ HSBCกล่าวว่า ธนาคารยังสนใจที่จะเข้าลงทุนในสถาบันการเงินไทยที่มีศักยภาพ รวมทั้งพร้อมที่จะหาพันธมิตรในการเพิ่มศักยภาพ แม้ว่าในช่วงปี 2552 จะยังมีความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจอยู่มากก็ตาม แต่หากโอกาสเอื้ออำนวยและได้ราคาที่เหมาะสม ก็อาจจะเข้าไปร่วมทุนด้วย โดยธนาคารยังคงเน้นสถาบันการเงินที่มีศักยภาพและระบบงานสอดคล้องกับเอชเอสบีซี
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในช่วงปีหน้านั้น ธนาคารมองว่าเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจะส่งผลให้ผลกระทบในเชิงลบต่อธุรกิจส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย
ส่วนรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาประเทศต่อไปนั้น ควรเร่งดำเนินการโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่(เมกะโปรเจกต์)โดยเร็ว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่ถดถอย ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ประเทศจำเป็นต้องได้มาตรการเข้ามาช่วยกระตุ้นเนื่องจากการลงทุนภาคเอกชน และโครงการเมกกะโปรเจกต์ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้
นายวิลลี กล่าวต่ออีกว่า ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนาคารในช่วงปี 2551 นั้น ธนาคารมีผลกำไรก่อนหักภาษีในไตรมาส 3 ปี 51 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนมูลค่าท่างการตลาดอยู่ที่ 127.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ธนาคารได้ประกาศจ่ายปันผลในไตรมาส 3 ปี 51 มูลค่า 0.18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
อย่างไรก็ตาม ทางด้านความแข็งแกร่งของธนาคารนั้น ถือได้ว่ามีสภาพคล่องในระดับที่สูงมาก โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 8.9% พร้อมกันนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธนาคารและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ธนาคารได้ดำเนินการเพิ่มทุนอีกประมาณ 2,450 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจดังกล่าว โดยส่วนสัดส่วนรายได้ของธนาคารในปัจจุบันมาจากช่องทางการรับฝากสินทรัพย์ 15% ช่องทางตลาดเงินและตลาดทุน 40% และจากช่องทางลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย 45% และเพื่อเป็นการแสดงศักยภาพเอชเอสบีซีที่ได้เข้าซื้อกิจการธนาคารอิโคโนมิแห่งอินโดนีเซียด้วย
นายวิลลี แทม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จำกัด หรือ HSBCกล่าวว่า ธนาคารยังสนใจที่จะเข้าลงทุนในสถาบันการเงินไทยที่มีศักยภาพ รวมทั้งพร้อมที่จะหาพันธมิตรในการเพิ่มศักยภาพ แม้ว่าในช่วงปี 2552 จะยังมีความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจอยู่มากก็ตาม แต่หากโอกาสเอื้ออำนวยและได้ราคาที่เหมาะสม ก็อาจจะเข้าไปร่วมทุนด้วย โดยธนาคารยังคงเน้นสถาบันการเงินที่มีศักยภาพและระบบงานสอดคล้องกับเอชเอสบีซี
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในช่วงปีหน้านั้น ธนาคารมองว่าเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจะส่งผลให้ผลกระทบในเชิงลบต่อธุรกิจส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย
ส่วนรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาประเทศต่อไปนั้น ควรเร่งดำเนินการโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่(เมกะโปรเจกต์)โดยเร็ว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่ถดถอย ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ประเทศจำเป็นต้องได้มาตรการเข้ามาช่วยกระตุ้นเนื่องจากการลงทุนภาคเอกชน และโครงการเมกกะโปรเจกต์ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้
นายวิลลี กล่าวต่ออีกว่า ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนาคารในช่วงปี 2551 นั้น ธนาคารมีผลกำไรก่อนหักภาษีในไตรมาส 3 ปี 51 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนมูลค่าท่างการตลาดอยู่ที่ 127.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ธนาคารได้ประกาศจ่ายปันผลในไตรมาส 3 ปี 51 มูลค่า 0.18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
อย่างไรก็ตาม ทางด้านความแข็งแกร่งของธนาคารนั้น ถือได้ว่ามีสภาพคล่องในระดับที่สูงมาก โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 8.9% พร้อมกันนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธนาคารและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ธนาคารได้ดำเนินการเพิ่มทุนอีกประมาณ 2,450 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจดังกล่าว โดยส่วนสัดส่วนรายได้ของธนาคารในปัจจุบันมาจากช่องทางการรับฝากสินทรัพย์ 15% ช่องทางตลาดเงินและตลาดทุน 40% และจากช่องทางลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย 45% และเพื่อเป็นการแสดงศักยภาพเอชเอสบีซีที่ได้เข้าซื้อกิจการธนาคารอิโคโนมิแห่งอินโดนีเซียด้วย
