บลจ.เอ็มเอฟซี เลื่อนขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล อินคัม พลัส ฟันด์ หนีความผันผวนวิกฤตการเงินโลก ระบุแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องโดยตรง แต่กระทบความมั่นใจนักลงทุน เดินหน้าส่งกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เพิ่มช่องทางลงทุนแทน
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า วิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐ จนส่งผลต่อการลงทุนทั่วโลกและส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนอยู่ในขณะนี้ ทำให้บริษัทต้องเลื่อนขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล อินคัม พลัส ฟันด์ หรือ MGI+ ออกไปก่อน โดยยังไม่มีกำหนดว่าจะเปิดขายในช่วงใด จากเดิมที่กำหนดวันเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกระหว่างวันที่ 17-29 กันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายของกองทุนดังกล่าว เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องในสหรัฐอเมริกาโดยตรง แต่ก็ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนพอสมควร ทำให้ต้องเลื่อนขายกองทุนออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์ในต่างประเทศจะคลี่คลาย โดยในระหว่างนี้ บริษัทจะเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนแทน
สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล อินคัม พลัส ฟันด์ หรือ MGI+ เป็นกองทุนเปิดตราสารหนี้ต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และอัตราดอกเบี้ย โดยสามารถลงทุนได้ในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งบริษัทจะเปิดขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทุก 6 เดือน (Roll over) เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุน และซื้อหน่วยลงทุนเพื่อลงทุนในรอบต่อไป
โดยจุดเด่นของกองทุนเปิด MGI+ คือ บริษัทจะคัดเลือกตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีผลตอบแทนที่ดี ประมาณ 4-6 หลักทรัพย์ จากประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในสกุลเงินประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยในช่วงแรกจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ในสกุล G10 ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น ยุโรป นอร์เวย์ สวีเดน และสวิสเซอร์แลนด์ ผู้จัดการกองทุนจะทบทวนกลยุทธ์การลงทุนเป็นระยะ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนทุกๆ 3 หรือ 6 เดือนตามสภาวการณ์ตลาด และบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ กองทุนเปิด MGI+ มีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล และมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีหน่วยงานกำกับดูแลด้านหลักทรัพย์และตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกสามัญของ IOSCO หรือในประเทศที่มีตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของ WFE ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สำหรับเงินส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก หรือหลักทรัพย์อื่นที่คณะกรรมการกลต. กำหนด หรือสำนักงานประกาศกำหนด โดยมีอายุต่ำกว่า 1 ปี
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า วิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐ จนส่งผลต่อการลงทุนทั่วโลกและส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนอยู่ในขณะนี้ ทำให้บริษัทต้องเลื่อนขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล อินคัม พลัส ฟันด์ หรือ MGI+ ออกไปก่อน โดยยังไม่มีกำหนดว่าจะเปิดขายในช่วงใด จากเดิมที่กำหนดวันเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกระหว่างวันที่ 17-29 กันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายของกองทุนดังกล่าว เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องในสหรัฐอเมริกาโดยตรง แต่ก็ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนพอสมควร ทำให้ต้องเลื่อนขายกองทุนออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์ในต่างประเทศจะคลี่คลาย โดยในระหว่างนี้ บริษัทจะเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนแทน
สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล อินคัม พลัส ฟันด์ หรือ MGI+ เป็นกองทุนเปิดตราสารหนี้ต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และอัตราดอกเบี้ย โดยสามารถลงทุนได้ในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งบริษัทจะเปิดขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทุก 6 เดือน (Roll over) เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุน และซื้อหน่วยลงทุนเพื่อลงทุนในรอบต่อไป
โดยจุดเด่นของกองทุนเปิด MGI+ คือ บริษัทจะคัดเลือกตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีผลตอบแทนที่ดี ประมาณ 4-6 หลักทรัพย์ จากประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในสกุลเงินประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยในช่วงแรกจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ในสกุล G10 ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น ยุโรป นอร์เวย์ สวีเดน และสวิสเซอร์แลนด์ ผู้จัดการกองทุนจะทบทวนกลยุทธ์การลงทุนเป็นระยะ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนทุกๆ 3 หรือ 6 เดือนตามสภาวการณ์ตลาด และบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ กองทุนเปิด MGI+ มีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล และมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีหน่วยงานกำกับดูแลด้านหลักทรัพย์และตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกสามัญของ IOSCO หรือในประเทศที่มีตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของ WFE ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สำหรับเงินส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก หรือหลักทรัพย์อื่นที่คณะกรรมการกลต. กำหนด หรือสำนักงานประกาศกำหนด โดยมีอายุต่ำกว่า 1 ปี