xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อผลประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่กระทบแผนการค้า-ส่งออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“พาณิชย์” เชื่อผลเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่กระทบ แผนการค้า-ส่งออก แม้โอบามาเล็งคุมมาตรฐานแรงงาน-สิ่งแวดล้อม ส่วนเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ จะเดินหน้าหยุดยุติ ขึ้นอยู่กับสหรัฐฯ เป็นสำคัญ

นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีบารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่า จะไม่ส่งผลต่อการค้าและการส่งออกของไทย แม้ตลาดสหรัฐฯ จะถูกกระทบจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ที่อาจทำให้เปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า รวมถึงวิกฤตสถาบันการเงิน และแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส แต่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับแผนเตรียมการล่วงหน้าแล้ว โดยหันพึ่งพาตลาดส่งออกใหม่ทดแทนตลาดหลัก จึงเชื่อว่าตลอดทั้งปียอดส่งออกจะเติบโตได้ 15-20% ตามเป้าหมาย

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อ บารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้งน่าจะสร้างความเชื่อมั่น ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลกฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกขยายตัวได้เร็วขึ้นตามไปด้วย จากเดิมที่เคยถูกกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่วนข้อกังวลนโยบายการค้าใหม่ของสหรัฐฯ อาจเพิ่มการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะปัญหาแรงงานในการผลิต มั่นใจว่าไม่มีผลต่อไทย เพราะไทยมีสินค้าและแรงงานตรงตามมาตรฐานสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้แล้ว ขณะเดียวกระทรวงฯ ได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเพิ่มมาตรฐานการผลิตและการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองการค้าในเวทีนานาชาติมากขึ้น

“ผมไม่อยากให้กังวลมากเกินไป เพราะตอนนี้สินค้าและบริการไทยยังส่งออกได้ดี สินค้าไทยมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว ส่วนเรื่องกุ้งที่เคยเกิดปัญหา ก็คาดว่าสหรัฐฯ คงมีทางออกและไม่น่าทำอะไรรุนแรงจนกระทบต่อวิถีชีวิต หรือปิดกั้นจนทำให้ชาวอเมริกันต้องบริโภคของแพง”นายศิริพลกล่าว

ส่วนเรื่องการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับนโยบายการค้าของทั้ง 2 ประเทศ หากทำแล้วเกิดประโยชน์ร่วมกันก็ต้องพิจารณาให้ได้ประโยชน์สูงสุด แต่ภารกิจสำคัญที่สุดเวลานี้ คือ ไทยจะต้องเร่งสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ให้ได้ก่อน เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจับตามาตรการทางการค้าต่างๆ อย่างใกล้ชิด ในลักษณะการเตือนภัยทางการค้า หากมีมาตรการใดที่จะกระทบต่อการส่งออกไทย ก็จะต้องเร่งแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบเพื่อปรับตัวหรือแก้ไขได้ทันเวลา โดยเฉพาะมาตรการทางการค้าที่สหรัฐฯ จะนำมาใช้ ภายใต้รัฐบาลใหม่ของนายโอบามา ที่มุ่งเน้นการเจรจาพหุภาคี มากกว่าการเจรจาทวิภาคี

นายวีระชัย วงศ์บุญสิน รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบและการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้นโยบายหลักๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะเน้นการปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่มองว่าสหรัฐฯ จะยังเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ของโลกต่อไปเพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดบริโภค การปกป้องใดๆ คงทำได้ในระดับหนึ่งหรือทำได้ไม่นานนัก

นอกจากนี้ การเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มคนชั้นกลางและล่างจะเป็นส่วนที่สอดคล้องกับกลุ่มตลาดสินค้าไทย จึงมองว่าผู้ประกอบการไทยควรวางแนวทางการทำตลาดให้ชัดเจนเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่จะกลับมามีกำลังซื้ออีก ส่วนการกำหนดมาตรการทางการค้าผ่านกฎระเบียบต่างๆ เช่น แรงงานและสิ่งแวดล้อมเอกชนไทยได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว และการผลิตสินค้าไทยมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ มีการคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมาก่อนหน้านี้แล้ว

สำหรับการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ จะยังไม่จบสิ้นไปโดยสิ้นเชิง แต่อาจเปลี่ยนเป็นรูปแบบการเจรจาเอฟทีเอผ่านเวทีอาเซียนแทน เพราะสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับอาเซียนค่อนข้างมาก หากเป็นเช่นนั้นไทยจะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ต้องรอดูท่าทีว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการอย่างไรกับเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ เพราะเป็นกรอบการเจรจาที่หยุดชะงักมากนานถึง 6 ปี แม้การเจรจาก่อนหน้านั้นจะดำเนินมาถึงรอบที่ 6 แล้ว แต่หากจะรื้อการเจรจาอีกครั้งต้องทบทวนข้อเสนอหรือเงื่อนไขการเจรจาใหม่ทั้งหมด และฝ่ายไทยเองต้องดำเนินการเจรจาภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 190 ทำให้ช่วงเวลาขณะนี้การดำเนินการใดๆ จากฝ่ายไทยต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมายดังกล่าวด้วย

ส่วนความเป็นไปได้การเปิดเอฟทีเออาเซียน-สหรัฐฯ นั้น มองว่าแม้ขณะนี้อาเซียนจะมีการรวมตัวกันมากขึ้นโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่การจะเปิดเอฟทีเอกับประเทศใดเพิ่มต้องขึ้นกับความยินยอมพร้อมใจของประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ และความยินยอมจากฝ่ายสหรัฐฯ ด้วย

**เอฟทีเอคงต้องทบทวนใหม่

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นโยบายของพรรคเดโมแครตจะเน้นอนุรักษ์นิยม เรื่องแรกน่าจะเร่งแก้ปัญหาเรื่องคนตกงาน โดยนายโอบามาจะให้รัฐมนตรีที่ดูแลการค้าระหว่างประเทศเข้ามาประเมินผลและทบทวนการทำข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอว่ามีผลกระทบกับประชาชนสหรัฐอย่างไร รวมทั้งอาจจะมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อดูแลแรงงานในสหรัฐ แต่เชื่อว่าจะกระทบกับการส่งออกของไทยไม่มากเพราะสัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐเมื่อเทียบกับหลายประเทศมีปริมาณไม่มาก

“นโยบายเศรษฐกิจต่างประเทศเชื่อว่านายโอบามาจะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียนมาขึ้น เพราะสหรัฐเห็นแล้วว่าจีนและญี่ปุ่นพยายามสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียน ซึ่งในการประชุมเอเปคที่ผ่านมาสหรัฐก็พยายามสร้างบทบาทในที่ประชุมดังนั้นการจะทำอะไรสหรัฐฯก็คงจะต้องให้รอบคอบ”นายสันติกล่าว

***แนะรับมือกีดกันการค้าเพิ่ม

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)สายงานโลจิสติกส์ กล่าวถึงกรณีที่นายบารัก โอบามา ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่า หากมองเฉพาะด้านส่งออกอาจจะกระทบบ้าง เพราะนโยบายของโอบามาเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศตัวเองก่อน ซึ่งอาจจะกระทบในเรื่องขององค์การการค้าโลก(WTO)ในเรื่องการชดเชยส่งออก ภาษีมุมน้ำเงิน เพราะพรรคเดโมเครตเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนมากดังนั้นผู้ผลิตไทยเองคงจะต้องปรับตัวและระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มากขึ้น

“ ปัญหาลิขสิทธิ์เชื่อว่าสหรัฐจะมีมาตรการที่แรงมากขึ้น ขณะเดียวกันคาดว่าปีหน้าการส่งออกไทยคงเหนื่อย เพราะการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นเพราะตลาดที่หดตัวจากเศรษฐกิจถดถอยและไทยไม่มีอะไรต่อรองมากนักซึ่งส่งออก เฉลี่ย 10 เดือนแรกของปีนี้ก็ยังต่ำกว่า 14% เมื่อเทียบกับเฉลี่ยช่วง 10 เดือนแรกของปีก่อน”นายธนิตกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น