ผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”เร่งปฏิบัติตามมาตรา 190 เตรียมเปิดเวทีสาธารณะ 17-18 ก.ย.นี้ ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดท่าทีเจรจาเอฟทีเออาเซียน-อียู
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ดำเนินการตามมาตรา 190 ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ในการเปิดเผยข้อมูล FTA ต่างๆ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน มาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 17-18 ก.ย.2551 นี้ จะปฏิบัติให้เป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญอีกครั้ง โดยจัดสัมมนา “นานาทรรศนะต่อการทำ ASEAN-EU FTA” ณ โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ ถ.รัชดาภิเษก เพื่อรายงานความคืบหน้าของการเจรจาและใช้โอกาสนี้อภิปรายแสดงทรรศนะเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป (อียู) รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงการค้าเสรีของไทยในกรอบอาเซียน-สหภาพยุโรป โดยจะได้นำไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำท่าทีของไทยในการเจรจาความตกลงทางการค้าต่อไป
“จะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดท่าทีการเจรจาเอฟทีเออาเซียน-อียู โดยจะเปิดโอกาสให้เอกชนผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ นักศึกษา ประชาชน สหภาพแรงงาน เกษตรกร และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ให้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 190 แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ”นางสาวชุติมากล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กรมฯ ได้เปิดรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนผ่านทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและสมาคมต่างๆ เป็นประจำอยู่แล้ว สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกองค์กรเหล่านี้และประชาชนทั่วไป สามารถส่งข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็น มาที่กรมฯ ได้ โดยตรงทั้งทางจดหมาย โทรสารและอีเมล์ aseaneu@dtn.go.th
นางสาวชุติมากล่าวว่า สำหรับเป้าหมายในการเจรจาเอฟทีเออาเซียน-อียู ไทยได้เข้าร่วมเจรจากับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยต้องการใช้เอฟทีเอในการขยายโอกาสในการส่งออกสินค้า บริการ และการลงทุนทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในสหภาพยุโรป รวมทั้งส่งเสริมให้มีการลงทุนจากต่างชาติ ในภาคการผลิตและบริการ ซึ่งจะทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาขีดความสามารถของการส่งออกของไทยในอนาคต
ในปี 2549 อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของสหภาพยุโรป (นำเข้า-ส่งออก) โดยอาเซียนส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป ประมาณ 94,472 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับไทยเป็นคู่ค้าอันอับที่ 28 ของสหภาพยุโรปและมีการส่งออกไปสหภาพยุโรปประมาณ 18,008 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ สหภาพยุโรปเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากสหรัฐฯ โดยในอาเซียนไทยเป็นคู่ค้าสำคัญ ลำดับที่ 3 ของสหภาพยุโรป รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ดำเนินการตามมาตรา 190 ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ในการเปิดเผยข้อมูล FTA ต่างๆ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน มาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 17-18 ก.ย.2551 นี้ จะปฏิบัติให้เป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญอีกครั้ง โดยจัดสัมมนา “นานาทรรศนะต่อการทำ ASEAN-EU FTA” ณ โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ ถ.รัชดาภิเษก เพื่อรายงานความคืบหน้าของการเจรจาและใช้โอกาสนี้อภิปรายแสดงทรรศนะเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป (อียู) รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงการค้าเสรีของไทยในกรอบอาเซียน-สหภาพยุโรป โดยจะได้นำไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำท่าทีของไทยในการเจรจาความตกลงทางการค้าต่อไป
“จะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดท่าทีการเจรจาเอฟทีเออาเซียน-อียู โดยจะเปิดโอกาสให้เอกชนผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ นักศึกษา ประชาชน สหภาพแรงงาน เกษตรกร และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ให้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 190 แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ”นางสาวชุติมากล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กรมฯ ได้เปิดรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนผ่านทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและสมาคมต่างๆ เป็นประจำอยู่แล้ว สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกองค์กรเหล่านี้และประชาชนทั่วไป สามารถส่งข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็น มาที่กรมฯ ได้ โดยตรงทั้งทางจดหมาย โทรสารและอีเมล์ aseaneu@dtn.go.th
นางสาวชุติมากล่าวว่า สำหรับเป้าหมายในการเจรจาเอฟทีเออาเซียน-อียู ไทยได้เข้าร่วมเจรจากับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยต้องการใช้เอฟทีเอในการขยายโอกาสในการส่งออกสินค้า บริการ และการลงทุนทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในสหภาพยุโรป รวมทั้งส่งเสริมให้มีการลงทุนจากต่างชาติ ในภาคการผลิตและบริการ ซึ่งจะทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาขีดความสามารถของการส่งออกของไทยในอนาคต
ในปี 2549 อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของสหภาพยุโรป (นำเข้า-ส่งออก) โดยอาเซียนส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป ประมาณ 94,472 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับไทยเป็นคู่ค้าอันอับที่ 28 ของสหภาพยุโรปและมีการส่งออกไปสหภาพยุโรปประมาณ 18,008 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ สหภาพยุโรปเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากสหรัฐฯ โดยในอาเซียนไทยเป็นคู่ค้าสำคัญ ลำดับที่ 3 ของสหภาพยุโรป รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย