ผู้บริหาร ธ.เอไอจีฯ แจงข่าวกลุ่ม AIG ในสหรัฐฯ ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยขายธุรกิจธนาคาร ไม่กระทบธุรกิจธนาคารในไทย แม้จะต้องเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ยันเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง 24% หรือมากกว่าที่ กปภ.กำหนดไว้ถึง 3 เท่า
วันนี้ (6 ต.ค.) นายชาลี มาดาน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และผู้นำกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย AIG Consumer Finance Group (AIG CFG) และกลุ่มบริษัทในเครือ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของกลุ่ม AIG Group โดยระบุว่า ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไปตามปกติ โดยการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น AIG CFG ที่อาจเกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อการปฏิบัติงานของธุรกิจ ธนาคารนปัจจุบัน โดยเชื่อว่า ธนาคารเอไอจีฯ ในประเทศไทย ยังดำรงความมั่นคง และความมีสภาพคล่องที่สูง ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจได้ว่า เงินฝากของลูกค้าจะมีความปลอดภัย
อนึ่ง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 ต.ค.) บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (AIG) ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ประกาศจะปรับทิศทางธุรกิจ โดยยังคงดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยในสหรัฐฯ และธุรกิจประกันวินาศภัยในต่างประเทศ และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจประกันชีวิตในต่างประเทศ แต่จะพิจารณาการขายกิจการอื่นๆ ในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง และพิจารณาทางเลือกอื่น
โดยกลุ่มธุรกิจ AIG CFG และกลุ่มบริษัทในเครือ ซึ่งรวมถึงธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย และเอไอจี การ์ด (ประเทศไทย) จำกัด อาจต้องปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วย
นายชาลี กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารได้รับเงินทุนและวงเงินสำรอง จำนวน 14,000 ล้านบาท จากบริษัทแม่ฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในฐานะการเงินและสภาพคล่อง
โดยอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ณ สิ้น ส.ค.2551 มีสูงถึง 24% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยในระบบอุตสาหกรรมไทยที่อยู่ระดับ 15% และสูงกว่าเกณฑ์ที่ กม.กำหนดไว้เกือบ 3 เท่า จากอัตรา 8.5% ขณะที่ยอดสินเชื่อ/เงินฝาก อยู่ระดับเดียวกับอัตราส่วนเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจธนาคาร ที่ 96% และ ธ.ยังรักษาระดับหนี้สูญไม่เกิน 2% ของสินเชื่อรวม
ด้าน นายสตีเว่น บาร์เน็ต กรรมการผู้จัดการ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท นิวแฮมเชอร์ อินชัวรันส์ และบริษัท เอไอจี ประกันวินาศภัย กล่าวว่า ทั้ง 2 บริษัท ยังคงดำเนินธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง และดำเนินธุรกิจในไทยนานกว่า 68 ปีแล้ว โดยปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่มีนโยบายมุ่งเน้นการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและลูกค้าอย่างเคร่งครัด
“ธุรกิจประกันวินาศภัยของเรา ยังคงมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากเรามีนโยบายบริหารธุรกิจที่มุ่งเน้นการทำกำไร จากการพิจารณา การประกันภัยเป็นหลัก ไม่ใช่การสร้างผลกำไรจากการลงทุน” นายสตีเว่น กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2550 ผลกำไรจากการรับประกันภัยของทั้งบริษัทมีสัดส่วนสูงถึง 28% ของผลกำไรจากการรับประกันภัยในธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบ
ด้านผู้บริหาร AIA กล่าวยืนยันว่า บริษัทยังดำเนินธุรกิจตามปกติ และยังมีความมั่นคงทางการเงิน
“บริษัทขอยืนยันว่า เงินสำรองประภันและเงินกองทุน ยังเพียงพอในการรับประกันผลประโยชน์ของลูกค้าทุกกรมธรรม์ บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ” ผู้บริหาร AIA กล่าว
นายชาลี กล่าวทิ้งทายว่า ขณะนี้มีผู้สนใจเป็นพันธมิตรร่วมทุนกับ AIG CFG หลายราย แต่ยังไม่ระบุสัดส่วนการซื้อหุ้น โดยพันธมิตรรายใหม่ มองว่า สัดส่วนการดำเนินธุรกิจสินเชื่อในตลาดดังกล่าว ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก