ดีเดย์ 1 มี.ค. เครือธนาคารไทยพาณิชย์แยกกลุ่มเป้าหมายตลาดลีสซิ่งชัดเจน โดยธนาคารไทยพาณิชย์เน้นจับกลุ่มลีสซิ่งรายย่อย ส่วนบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งเน้นทำตลาดลีสซิ่งรายใหญ่ มั่นใจราคาน้ำมันไม่มีผลต่อเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อปีนี้
นายการุณ เลาหรัชตนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCBL ซึ่งเป็นบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า การทำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ (ลีสซิ่ง)ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมนี้เป็นต้นไป จะมีการแยกกลุ่มลูกค้าระหว่างกลุ่มที่เป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งอย่างชัดเจน โดยทางธนาคารไทยพาณิชย์จะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ให้กับลูกค้ารายย่อยเอง และทำการว่าจ้างให้บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง เป็นผู้บริหารสินทรัพย์ โดยจะทำหน้าที่ในการเรียกเก็บหนี้ การติดตามหนี้และการขายทอดตลาด
โดยในปีนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ 50,000-60,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อประมาณ 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อที่บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งมีอยู่ประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท จะยังคงไว้ที่บริษัทไม่ได้มีการโยกย้ายสินเชื่อไปให้ธนาคารแต่อย่างไร
"ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้ ในเรื่องของการทำธุรกิจลีสซิ่งรถยนต์ของธนาคารไทยพาณิชย์และไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง จะแบ่งกันชัดเจน โดยในตัวของธนาคารไทยพาณิชย์จะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้กับตลาดลูกค้ารายย่อยทั้งหมด ส่วนลูกค้าที่เป็นรายใหญ่นั้นทางบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งจะยังคงปล่อยสินเชื่อเอง" นายการุณกล่าว
นายการุณ กล่าวว่า ในส่วนของราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปีนี้มากนัก เนื่องจากสินเชื่อลีสซิ่งรายย่อย จะเน้นปล่อยรถปิกอัพป้ายแดง ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีความจำเป็นที่ใช้ในการค้าขาย หรือใช้ในการขนส่งของอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ส่วนสินเชื่อที่ปล่อยให้กับลูกค้าที่ซื้อรถเก๋งป้ายแดง เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบต่อราคาน้ำมันแพง ในจุดนี้ส่งผลให้บริษัทรถยนต์ได้มีการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการตลาด เพื่อกระตุ้นการตลาดอย่างต่อเนื่อง
นายการุณ เลาหรัชตนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCBL ซึ่งเป็นบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า การทำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ (ลีสซิ่ง)ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมนี้เป็นต้นไป จะมีการแยกกลุ่มลูกค้าระหว่างกลุ่มที่เป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งอย่างชัดเจน โดยทางธนาคารไทยพาณิชย์จะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ให้กับลูกค้ารายย่อยเอง และทำการว่าจ้างให้บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง เป็นผู้บริหารสินทรัพย์ โดยจะทำหน้าที่ในการเรียกเก็บหนี้ การติดตามหนี้และการขายทอดตลาด
โดยในปีนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ 50,000-60,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อประมาณ 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อที่บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งมีอยู่ประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท จะยังคงไว้ที่บริษัทไม่ได้มีการโยกย้ายสินเชื่อไปให้ธนาคารแต่อย่างไร
"ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้ ในเรื่องของการทำธุรกิจลีสซิ่งรถยนต์ของธนาคารไทยพาณิชย์และไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง จะแบ่งกันชัดเจน โดยในตัวของธนาคารไทยพาณิชย์จะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้กับตลาดลูกค้ารายย่อยทั้งหมด ส่วนลูกค้าที่เป็นรายใหญ่นั้นทางบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งจะยังคงปล่อยสินเชื่อเอง" นายการุณกล่าว
นายการุณ กล่าวว่า ในส่วนของราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปีนี้มากนัก เนื่องจากสินเชื่อลีสซิ่งรายย่อย จะเน้นปล่อยรถปิกอัพป้ายแดง ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีความจำเป็นที่ใช้ในการค้าขาย หรือใช้ในการขนส่งของอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ส่วนสินเชื่อที่ปล่อยให้กับลูกค้าที่ซื้อรถเก๋งป้ายแดง เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบต่อราคาน้ำมันแพง ในจุดนี้ส่งผลให้บริษัทรถยนต์ได้มีการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการตลาด เพื่อกระตุ้นการตลาดอย่างต่อเนื่อง