นายกสมาคมนักวิเคราะห์ คาดผลกระทบวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ยังมีความเสียหายอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ แม้สภาคองเกรสจะผ่านแผนกู้วิกฤตถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ ก็ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา
วันนี้ (29 ก.ย.) นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลกระทบความเสียหายระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากวิกฤตซับไพร์มในอนาคตจะยังมีอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเนื่องจากครั้งนี้ที่เสียหายไปแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ถึงแม้สภาคองเกรสจะอนุมัติเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ตลาดการเงิน แต่คงไม่เพียงพอ เพราะปัญหาซับไพรม์ ยังคงจะมีต่อเนื่องอีกเป็นปี
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศ มีการแข่งขันระดมเงินฝากแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสภาพคล่องที่อาจมีการตื่นตัว
อย่างไรก็ตาม นายก้องเกียรติ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ คงต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของรัฐบาล ไม่ใช้แค่เพียงออกนโยบายแก้ไขปัญหาเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ การที่ภาคการเงินสหรัฐฯ ต้องล่มสลายพังลง เนื่องจากการยื่นล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ บริษัทเทรดดิ้งที่ก่อตั้งมาร่วม 158 ปี และเป็นบริษัทแม่ของเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ, รัฐบาลเข้าเทคโอเวอร์บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ซึ่งเคยเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าในตลาด
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงสถานะโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป และ มอร์แกน สแตนเลย์ เป็นบริษัทโฮลดิงส์ทางธนาคารจากเดิมเป็นวาณิชธนกิจ และการล้มละลายของวอชิงตัน มิวชวลซึ่งถือเป็นการล้มละลายของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต.ของประเทศอื่นๆ ออกคำสั่งห้ามการทำช็อตเซลหุ้นกลุ่มการเงินเป็นการชั่วคราว ซึ่งคำสั่งห้ามของสหรัฐจะสิ้นสุดในวันที่ 2 ต.ค.นี้ แต่ก็อาจขยายออกไป ถ้าทางการเห็นว่าจำเป็น
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า วาโชเวีย คอร์ปได้เข้าสู่การเจรจาเบื้องต้นกับผู้สนใจซื้อกิจการหลายราย ซึ่งรวมถึงซิตี้กรุ๊ป
ตลาดจะรอดูคำแถลงภาวะเศรษฐกิจของเจ้าหนาที่เฟดหลายรายในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่นายโทมัส โฮนิก ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้และนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา
ขณะที่การปล่อยกู้มีความตึงตัวมากขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาการขาดความเชื่อมั่นจึงทำให้ธนาคารต่างๆพากันกักตุนเงินสดไว้ ดังนั้นนักลงทุนจะจับตาดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อินเตอร์แบงก์อย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้เพื่อูว่าจะปรับตัวลดลงหรือไม่
นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 15.99% แล้ว ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 17.37% และดัชนี Nasdaq รูดลง 17.68%