ทั่วโลกยังจับตาอาการ AIG หลัง "เฟด" อัดฉีดเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ กู้สถานการณ์จนรอดพ้นวิกฤตได้แบบหวุดหวิด นักวิชาการต่างชาติแนะชาวอเมริกัน อย่าตื่นตระหนก หวั่นทำให้เหตุกาณ์เลวร้ายลง ยันรัฐบาลสหรัฐยังดูแลใกล้ชิด พร้อมสร้างความมั่นใจการคุ้มครองเงินจ่ายค่าสินไหมประกัน
วันนี้ (17 ก.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาผลกระทบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (American International Group : AIG) หรือเอไอจี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทประกันชีวิต อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันส์ (เอไอเอ) ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก เพราะอาจล้มทั้งยืนตามบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส อิงค์ สถาบันการเงินเก่าแก่อายุ 158 ปีของสหรัฐ
นักวิเคราะห์ยอมรับว่า เหตุการณ์ตอนนี้ กำลังสร้างความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเอง โดยชาวอเมริกันที่เป็นลูกค้าของบริษัทประกันรายใหญ่ที่สุดของประเทศแห่งนี้ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากปัญหาที่บริษัทกำลังประสบอยู่หรือไม่ ขณะที่คนทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกค้าก็สงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจะต้องสนใจเรื่องนี้ด้วย
นายคริส ไอซิดอร์ นักข่าวของ CNNMoney.com ช่วยไขข้อข้องใจเหล่านี้ โดยได้ไปสอบถามแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องซึ่งชี้ว่า ลูกค้าของเอไอจีในสหรัฐไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินที่ง่อนแง่นของบริษัท อย่างน้อยก็ในระยะสั้น เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัทโฮลดิ้ง ไม่ใช่ธุรกิจประกันซึ่งเป็นบริษัทย่อยหรือบริษัทในเครือ และถึงแม้ว่าบริษัทโฮลดิ้งของเอไอจีจำเป็นต้องยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลายต่อศาล ก็ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทในเครือจะดำเนินกิจการต่อไปตามปกติ โดยที่ไม่ทำให้การจ่ายค่าสินไหมแก่ลูกค้าต้องสะดุดลง
ทั้งนี้ หากเกิดกรณีที่บริษัทประกันเผชิญวิกฤติการเงินและไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมให้ผู้เอาประกันได้ หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในรัฐนั้นๆ จะเข้ามาควบคุมบริษัทและเป็นผู้จ่ายเงินแทน
สำหรับผู้ที่วิตกจนคิดจะเปลี่ยนไปทำประกันกับบริษัทอื่นนั้น นายโจเซฟ เบธ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยอินเดียนา และบรรณาธิการ The Insurance Forum ซึ่งเป็นจดหมายข่าวที่มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจประกัน กล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ โดยต้องพิจารณาประเภทของประกัน คุณสมบัติของผู้จะเอาประกันอาจไม่ผ่านหลักเกณฑ์ของบริษัทประกันแห่งใหม่ เป็นต้น โดยศ.เบธกล่าวให้ความมั่นใจว่า แม้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ได้ปรับลดอันดับเครดิตของตราสารหนี้ของเอไอจีเมื่อวานนี้ แต่อันดับเครดิตของเอไอจีก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าลงทุน และบริษัทประกันในเครือก็ยังมีสถานะที่มั่นคง
อย่างไรก็ตาม แม้ลูกค้าบริษัทประกันจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเอไอจีและคิดว่าปัญหาของเอไอจีไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองนั้น ก็อาจต้องทบทวนความคิดใหม่ เนื่องจากเอไอจีเป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้ และหุ้นของบริษัทได้มีการซื้อขายโดยกองทุนรวมต่างๆ รวมถึงกองทุนในดัชนี S&P 500 และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่หุ้นเอไอจีมีอิทธิพลต่อการดึงให้ดาวโจนส์ร่วงลงมากกว่า 400 จุดในปีนี้
ทั้งนี้ เอไอจี ยังประกอบธุรกรรมซื้อขายตราสารอนุพันธ์ Credit Default Swaps (CDS) ซึ่งเลห์แมน บราเธอร์ส ก็เป็นผู้เล่นรายใหญ่รายหนึ่งในธุรกิจนี้ ดังนั้นถ้าสถาบันการเงินทั้งสองแห่งล้มลงไปพร้อมๆกัน ก็ยิ่งจะเป็นการทวีความตึงเครียดให้กับตลาดการเงิน ซึ่งส่งผลสืบเนื่องไปถึงลูกค้ารายย่อยและธุรกิจที่พยายามขออนุมัติเงินกู้
นอกจากนี้ แม้เอไอจีเป็นบริษัทประกัน ไม่ใช่ธนาคารผู้ปล่อยเงินกู้ แต่เอไอจีก็เป็นองค์กรหนึ่งที่ต้องบาดเจ็บจากวิกฤตสินเชื่องบ้าน (ซับไพรม์) เนื่องจากบริษัทเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ที่หนุนโดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage-Backed Securities) ซึ่งเอไอจีถือเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่กว่าบริษัทประกันอื่นๆ และเนื่องด้วยปัญหาการเพิกถอนสิทธิการถ่ายถอนจำนอง (Foreclosures) และการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น เอไอจีจึงหนีไม่พ้นต้องเจอปัญหาใหญ่ โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เอไอจีมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อยู่ในภาวะย่ำแย่
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (US Federal Reserve : FED) หรือ เฟด ได้ตัดสินใจปล่อยวงเงินกู้ฉุกเฉินมูลค่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับเอไอจี แลกกับการถือหุ้น 79.9% โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือบริษัทประกันแห่งนี้ให้รอดพ้นจากการล้มละลายซึ่งอาจสร้างเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะเดินมาถูกทาง เมื่อปรากฏว่าตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นขานรับมาตรการเฟดเข้าช่วยเหลือเอไอจีในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ และอาจกล่าวได้ว่า "เอไอจี" พ้นวิกฤตจากปากเหวแบบหวุดหวิด อย่างน้อยก็ในขณะนี้
โดยเช้าวันนี้ ทำเนียบขาวสหรัฐฯ แถลงว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศสนับสนุนมาตรการของ เฟด ในการปล่อยเงินกู้ให้กับเอไอจี โดยถือเป็นความคืบหน้าที่รัฐบาลจะเข้าช่วยส่งเสริมเสถียรภาพให้กับตลาดการเงิน
แถลงการณ์ ยังระบุอีกว่า ประธานาธิบดีบุช สนับสนุนความตกลงตามแถลงการณ์ของเฟด เพื่อผลประโยชน์ในการส่งเสริมความมั่นคงในตลาดการเงิน และจำกัดวงความเสียหายที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า การที่เฟดตัดสินใจทุ่มเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือเอไอจีให้รอดพ้นจากการล้มละลาย เพื่อแลกกับการเข้ามาถือหุ้นเป็นจำนวนเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของเอไอจี โดยข้อตกลงในครั้งนี้ ถือเป็นความพยายามล่าสุดของเฟด เพื่อยุติความตื่นตระหนกในตลาดการเงินของประเทศ หลังจากที่ยักษ์ใหญ่ด้านการเงินและการลงทุนชื่อดังอย่าง เลห์ แมน บาร์เธอร์ ต้องประสบกับภาวะล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา