ผู้บริหารซีพีเอฟ ชี้ วิกฤตนมผงที่ผลิตในจีน ส่งผลดีต่อซีพีเอฟ-อุตฯอาหารของไทย เผยยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอื้อ พร้อมมั่นใจยอดขายปีนี้ ทะลุเป้า 1.5 แสนล้านบาท
วันนี้ (24 ก.ย.) นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า กรณีวิกฤตนมที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ส่งผลให้นานาประเทศทั่วโลกขาดความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์อาหารทุกประเภทจากประเทศจีน และระมัดระวังในการนำเข้าสินค้าอาหารจากจีนเป็นอย่างมาก
ตอนนี้หลายประเทศต่างหันมานำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซีพีเอฟ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้จากคำสั่งซื้อของลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากทุกประเทศให้ความเชื่อมั่นในมาตรฐานอาหารปลอดภัย หรือ Food Safety ของซีพีเอฟ ที่สามารถดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ถึงแหล่งที่มาได้ในทุกขั้นตอนการผลิต ด้วยมาตรฐานระดับสากลที่รองรับอย่างครบถ้วน ได้แก่ GMP, HACCP, ISO 9002, ISO14001, TIS18001, ISO 17025, HALAL รวมไปถึง Animal welfare ครอบคลุมตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงการแปรรูปเป็นอาหาร หรือที่เรียกว่า from farm to table
ส่วนวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกาที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกนั้น แต่ในอุตสาหกรรมอาหารกลับไม่ได้ผลกระทบ เนื่องจากอาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ประกอบกับระดับราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ทำให้ต้นทุนการผลิตอาหารแปรรูปของซีพีเอฟลดลงตามไปด้วย และซีพีเอฟเน้นการผลิตในอาหารแปรรูป
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น ซีพีเอฟกำลังจะเปิดดำเนินกิจการโรงงานอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยทึ่สุดในโลกในประเทศรัสเซียในเร็วๆ นี้ ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใสดีมาก เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่ขาดแคลนอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ ขณะที่ชาวรัสเซียนิยมบริโภคเนื้อสุกรอย่างมาก ถึงขนาดเป็นผู้นำเข้าเนื้อสุกรอันดับต้นๆ ของโลก
สถานการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า ซีพีเอฟจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ส่งผลโดยตรงต่อผลประกอบการในครึ่งปีหลังที่จะเป็นไปตามเป้าหมายด้วยยอดขาย 150,000 ล้านบาท และจะสดใสต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปี 2009 ด้วย
โดยก่อนหน้านี้ มีการตรวจพบบริษัท ซานลู่ กรุ๊ป ประเทศจีน ที่ผลิตนมผงเด็กพบสารเมลามีน ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกและกาว เป็นเหตุให้เด็กทารกล้มป่วยเป็นโรคนิ่วเป็นจำนวนเกือบ 53,000 คน และในนี้มีจำนวน 12,892 คน ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งเด็กที่ล้มป่วยส่วนใหญ่บริโภคนมผงยี่ห้อซานลู่
ขณะที่ในฮ่องกงพบเด็กหญิงวัย 3 ขวบป่วยเป็นโรคนิ่วในไต แต่อาการไม่รุนแรงและขณะนี้ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และพบว่าร้านค้าปลีกรายใหญ่ในฮ่องกงได้มีการเก็บผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตในประเทศจีนลงจากชั้นจำหน่ายสินค้าแล้ว ส่วนในสิงคโปร์ได้สั่งระงับการนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมทุกชนิดจากจีนแล้วด้วย
วันนี้ (24 ก.ย.) นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า กรณีวิกฤตนมที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ส่งผลให้นานาประเทศทั่วโลกขาดความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์อาหารทุกประเภทจากประเทศจีน และระมัดระวังในการนำเข้าสินค้าอาหารจากจีนเป็นอย่างมาก
ตอนนี้หลายประเทศต่างหันมานำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซีพีเอฟ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้จากคำสั่งซื้อของลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากทุกประเทศให้ความเชื่อมั่นในมาตรฐานอาหารปลอดภัย หรือ Food Safety ของซีพีเอฟ ที่สามารถดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ถึงแหล่งที่มาได้ในทุกขั้นตอนการผลิต ด้วยมาตรฐานระดับสากลที่รองรับอย่างครบถ้วน ได้แก่ GMP, HACCP, ISO 9002, ISO14001, TIS18001, ISO 17025, HALAL รวมไปถึง Animal welfare ครอบคลุมตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงการแปรรูปเป็นอาหาร หรือที่เรียกว่า from farm to table
ส่วนวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกาที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกนั้น แต่ในอุตสาหกรรมอาหารกลับไม่ได้ผลกระทบ เนื่องจากอาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ประกอบกับระดับราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ทำให้ต้นทุนการผลิตอาหารแปรรูปของซีพีเอฟลดลงตามไปด้วย และซีพีเอฟเน้นการผลิตในอาหารแปรรูป
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น ซีพีเอฟกำลังจะเปิดดำเนินกิจการโรงงานอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยทึ่สุดในโลกในประเทศรัสเซียในเร็วๆ นี้ ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใสดีมาก เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่ขาดแคลนอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ ขณะที่ชาวรัสเซียนิยมบริโภคเนื้อสุกรอย่างมาก ถึงขนาดเป็นผู้นำเข้าเนื้อสุกรอันดับต้นๆ ของโลก
สถานการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า ซีพีเอฟจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ส่งผลโดยตรงต่อผลประกอบการในครึ่งปีหลังที่จะเป็นไปตามเป้าหมายด้วยยอดขาย 150,000 ล้านบาท และจะสดใสต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปี 2009 ด้วย
โดยก่อนหน้านี้ มีการตรวจพบบริษัท ซานลู่ กรุ๊ป ประเทศจีน ที่ผลิตนมผงเด็กพบสารเมลามีน ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกและกาว เป็นเหตุให้เด็กทารกล้มป่วยเป็นโรคนิ่วเป็นจำนวนเกือบ 53,000 คน และในนี้มีจำนวน 12,892 คน ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งเด็กที่ล้มป่วยส่วนใหญ่บริโภคนมผงยี่ห้อซานลู่
ขณะที่ในฮ่องกงพบเด็กหญิงวัย 3 ขวบป่วยเป็นโรคนิ่วในไต แต่อาการไม่รุนแรงและขณะนี้ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และพบว่าร้านค้าปลีกรายใหญ่ในฮ่องกงได้มีการเก็บผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตในประเทศจีนลงจากชั้นจำหน่ายสินค้าแล้ว ส่วนในสิงคโปร์ได้สั่งระงับการนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมทุกชนิดจากจีนแล้วด้วย