ปตท.คุยฟุ้งปรับลดราคาเป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน ทั้งกลุ่มน้ำมันดีเซลและกลุ่มน้ำมันเบนซิน รวมลดราคาลงไปแล้ว 6.30-8.70 บาท/ลิตร พร้อมเร่งให้รถยนต์หันไปใช้ก๊าซเอ็นจีวี จับมือแบงก์อัดเงินกู้ ดบ.ต่ำ ยันเพิ่มสถานีบริการ 355 แห่งในปีนี้ ส่วนก๊าซแอลพีจี ยังยืนกรานนำเข้าจริง 6 ครั้ง จำนวน 1.32 แสนตัน โวยต้องแบกภาระถึง 3 พัน ล.จากส่วนต่างราคาในและต่างประเทศ
วันนี้ (29 ก.ค.) นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้อ่อนตัวลงมา โดยในวันนี้ ราคาน้ำมันดูไบ อยู่ที่ระดับ 121.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 122.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 153.84 ดอลลาร์บาร์เรล ผลจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์เทขายทำกำไร และโรงกลั่นน้ำมันในไต้หวันได้เริ่มกลับมาผลิตใหม่หลังจากที่หยุดการผลิตไปชั่วคราว จึงทำให้ ปตท.สามารถปรับลดราคาขายน้ำมันปลีกกลุ่มเบนซินลงให้ผู้บริโภคได้อีก 60 สตางค์ต่อลิตร ในวันพรุ่งนี้
นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าในช่วงนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับลดลง แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงมีความผันผวนอยู่เสมอจากปัจจัยต่างๆ รอบโลก แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอีก ปตท.ก็พร้อมที่จะปรับลดราคาน้ำมันให้ประชาชนทันที ตามนโยบายที่ ปตท.ถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค
นายชัยวัฒน์ ระบุว่า การลดราคาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 8 แล้ว ทั้งกลุ่มน้ำมันดีเซลและกลุ่มน้ำมันเบนซิน รวมลดราคาลงไปแล้ว 6.30-8.70 บาทต่อลิตร นับตั้งแต่วันที่ 10, 11, 18, 20, 22, 25, 29 รวมทั้งการลดราคาล่าสุดที่มีผลในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ค.)
**เร่งต้อนรถใช้เอ็นจีวี อัดสินเชื่อ-เพิ่มปั๊ม 355 แห่ง
นายปุณณชัย ฟูตระกูล ผู้จัดการฝ่ายตลาดก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ปตท.กล่าวว่า ยืนยันว่า ในปีนี้จะไม่มีปัญหาการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ (NGV) โดย ปตท.ได้เร่งผลิตก๊าซ NGV เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 5,400 ตัน ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการใช้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 3,700 ตัน
ปัจจุบัน ปตท.สามารถผลิตก๊าซ NGV ได้วันละ 2,900 ตัน จากความต้องการที่อยู่ที่วันละ 2,200 ตัน
นอกจากนี้ ปตท.จะเร่งเพิ่มสถานีบริการก๊าซ NGV ให้ได้ 355 แห่งภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 224 แห่ง รวมถึงจะมีการแยกสถานีออกเป็น 3 กลุ่ม ตามความต้องการใช้ คือ กลุ่มของรถยนต์บ้าน รถโดยสารขนาดใหญ่ และรถแท็กซี่ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนอย่างเต็มที่
นายปุณณชัย ระบุว่า ปตท.ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อในอัตราร้อยละ 5 ให้เจ้าของรถยนต์ ซึ่งเป็นพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซเอ็นจีวี ภายใต้โครงการเงินทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์เอ็นจีวี ขณะที่ปัจจุบันมีรถที่ติดตั้งก๊าซชนิดนี้ 93,000 คัน หรือเฉลี่ยติดตั้งวันละ 400 คัน
ล่าสุด ปตท.ได้ร่วมกับธนาคารธนชาต ปล่อยสินเชื่อให้กับพนักงานของ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ในการติดตั้งเครื่องยนต์ NGV โดยวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยคงที่ไม่เกิน 5% ผ่อนชำระไม่เกิน 36 งวด
นายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารธนชาต กล่าวว่า จะให้วงเงินกู้แก่เจ้าของรถ ไม่เกิน 100,000 บาท โดยผ่อนชำระได้ไม่เกิน 36 งวด และมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี
**ยันนำเข้าแอลพีจี 6 ครั้ง 1.32 แสนตัน แบกภาระ 3 พันล.
นายสุรงค์ บูลกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท กล่าวว่า ในเช้าวันนี้ปตท.ได้มีการนำเข้า LPG จากประเทศมาเลเซียอีก 22,000 ตัน ในรูปของแก๊สโพรเพน ประมาณ 10,450 ตัน และแก๊สบิวเทนประมาณ 11,550 ตัน ซึ่งมีการขนส่งผ่านมาทางเรือ เข้ามาถึงท่าเทียบเรือคลังแก๊สเขาบ่อยา ปตท.จ.ชลบุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งนับเป็นเรือเที่ยวที่ 6 ที่ ปตท.ได้นำเข้ามา เพื่อเตรียมการให้พร้อมรองรับกับความต้องการใช้ในประเทศที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ปตท.ต้องนำเข้าในราคาตลาดโลกประมาณกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่รัฐกำหนดให้ราคาขายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 332 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างให้ภายหลัง ทั้งนี้ ปตท.ได้รับภาระแทนไปก่อนในช่วงแรกประมาณ 3 พันล้านบาท”
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา จนถึงเดือน ก.ค.นี้ ขอยืนยันว่า ปตท.ได้มีการนำเข้า LPG แล้วถึง 131,800 ตัน อย่างไรก็ตาม หากปริมาณความต้องการใช้ LPG ในประเทศยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าประเทศไทยคงจะต้องมีการนำเข้า LPG ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกันประมาณเดือนละ 60,000-100,000 ตัน โดยขึ้นอยู่กับกรมธุรกิจพลังงาน จะเป็นผู้กำหนดตัวเลขการนำเข้าในแต่ละครั้ง
นอกจากนี้ ความต้องการใช้ LPG ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดิมในปีที่ผ่านมาประมาณ 3 ล้านตัน เป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ถึง 22.7%