“ดร.โกร่ง” เตือนความเสี่ยงเงินเฟ้อเกิน 10% ช่วงครึ่งปีหลัง Q3-Q4 ต่อเนื่องปี 52 ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น ผลักดันให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อนำไปเป็นทุนหมุนเวียน ขณะที่เงินออมลดลง อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินตึง แนะภาคเอกชนรับมือการขาดสภาพคล่องกะทันหันถึงขั้นล้มละลาย แนะแบงก์ชาติดึงดอกเบี้ยไม่ให้ขึ้นเร็วเกินไป พร้อมไปกับการอัดฉีดสภาพคล่อง ส่วนนโยบายการคลังต้องใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (2 ก.ค.) นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้มีโอกาสที่จะสูงเกิน 10% ขณะที่ตลอดทั้งปี 2552 เชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อจะสูงอยู่เกินระดับ 10% ขึ้นไปเช่นกัน โดยมีสาเหตุมาจากราคาสินค้าต่างๆ ได้ทยอยปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นขาขึ้นมาตลอดในปี 2551
“ผมเชื่อว่า มีแนวโน้มสูง เพราะต่อไปนี้ตัวเลขเงินเฟ้อจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น และคงจะอยู่ที่ระดับ 2 หลักในปีหน้า ส่วนปีนี้อาจจะแตะ 2 หลัก หรือประมาณ 10% กว่าๆ แต่ปีหน้าจะขึ้นต่อ เพราะคาดว่าราคาน้ำมันแม้จะไม่ขึ้นต่อ หากอยู่ที่ 120-150 เหรียญ/บาร์เรล แต่ต้นทุนการผลิตต่างๆ จะทยอยขึ้นราคาเมื่อสต๊อกสินค้าเก่าหมด”
นายวีรพงษ์ มองว่า ผลที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจไทยภายใต้ภาวะเงินเฟ้อสูงในระดับ 10% นั้น สิ่งแรกที่จะเห็น คือ อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้น เพราะความต้องการสินเชื่อ จะมีเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน ขณะที่เงินออมในระบบจะเริ่มน้อยลงเพราะต้องมีการนำเงินไปใช้ซื้อสินค้า หรือลงทุนในมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ภาคการส่งออกจะชะลอตัวลง อันเนื่องจากสินค้าของไทยมีราคาแพงขึ้นตามการปรับเพิ่มของต้นทุน ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะในหมวดพลังงานจะสูงขึ้น ตัวเลขดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเป็นขาดดุล
ด้านการลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนจะชะลอตัวลง เพราะความต้องการสินค้าและบริการจะเริ่มลดลง ส่งผลไปถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) ที่จะปรับลดลงด้วยเช่นกัน และทำให้เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงไปเรื่อย โดยเชื่อว่าสิ้นปีนี้อาจจะอ่อนค่าไปอยู่ที่ 35 บาท/ดอลลาร์ โดยระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำ เพราะเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก การบริโภคแม้จะเป็นอาหารก็คงลดน้อยลง
“อาการอย่างนี้คงเกิดขึ้นแน่ๆ ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว เงินเฟ้อเริ่มขึ้น ดอกเบี้ยเริ่มขยับไปอีก 1-2 ปี เงินฝากน้อยลง ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น จะเกิดภาวะเงินตึง และถ้าดำเนินนโยบายการเงินไม่ถูกต้องก็จบเห่ บริษัทห้างร้านจะขาดเงินสดหมุนเวียน ก็จะต้องขาดทุน ล้มละลายกันถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ยกเว้นประเทศที่ส่งออกน้ำมัน ครึ่งหนึ่งของโลกจะแย่ อีกครึ่งหนึ่งจะรวย”
นายวีรพงษ์ เห็นว่า การรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องพยายามทำหน้าที่เพื่อให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย สภาพคล่องในระบบการเงิน ขณะที่กระทรวงการคลังต้องใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจต้องมีงบประมาณขาดดุล ด้วยวิธีเพิ่มการลงทุน หรือลดภาษีเงินได้ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
“เงินเฟ้อสูงเป็นภาวะที่เกิดจากจาคาน้ำมัน เป็น cost push ไม่ใช่ demand pull ผลก็จะทำให้เงินตึงตัว ดอกเบี้ยแพง หน้าที่สำคัญตอนนี้ คือ แบงก์ชาติต้องทำตัว stabilizer คือ ดอกเบี้ยจะขึ้นก็ต้องดึงไว้อย่าให้ขึ้นเร็ว เงินจะตึงก็ต้องปั๊มเงินออกมาอย่าให้มันตึง ต้องทำให้มีเงินเพียงพอ แต่เท่าที่ดูทัศนคติของผู้ว่าการ หรือรองผู้ว่าการ แล้ว ไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้ เพราะยังเข้าใจว่าดอกเบี้ยจะเป็นตัวปราบเงินเฟ้อ แต่จริงๆ มันเป็นผลของเงินเฟ้อ” นายวีรพงษ์ ระบุ
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เชื่อว่า คงไม่กลับไปในยุคของฟองสบู่แตก แต่อาจภาวะเศรษฐกิจที่ซึมลงคล้ายลักษณะของลูกโป่งรั่วและแฟบลงมากกว่า
“เที่ยวนี้ยังไม่ถึงขั้นฟองสบู่แตก แค่ลูกโป่งแฟบ มันเป็นอาการซึมลง ไม่ใช่แบบปี 40 ที่ระเบิดตูม แต่ครั้งนี้ค่อยซึมลงเหมือนลูกโป่งรั่ว ที่พูดไม่ได้ให้ตกใจ แต่ต้องตั้งสติ จะไม่ให้เกิดเป็นไปไม่ได้เพราะเศรษฐกิจเราเป็นประเทศเล็ก ต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ โลกเขาลงก็ต้องลงตามฝืนไม่ได้ แต่ให้ลงอย่างมีระเบียบและลงอย่างจำเป็นต้องลง ไม่ใช่ลงเพราะไม่รู้ หรือด้อยสติปัญญาของเรา” นายวีรพงษ์ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวการถูกทาบทามให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น นายวีรพงษ์ ปฏิเสธเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการทาบทาม ซึ่งหากจะตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งจริงก็จะรับอย่างไม่มีเงื่อนไข และหากจะปฏิเสธไม่รับก็จะไม่รับอย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน
“โดยมารยาทคงพูดกับสาธารณชนไม่ได้ ถ้ารับก็รับ ไม่มีเงื่อนไข ถ้าไม่รับก็ไม่รับ ไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น” นายวีรพงษ์ กล่าวสรุปท้งท้าย