เคทีซี เผยผลการดำเนินงาน 3 เดือนแรก ปี 2551 รายได้รวม 2,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนเงินทุนลดเหลือ 4.62% กำไรสุทธิ 217 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวมเพิ่มขึ้นจากสมาชิกใหม่บัตรเครดิตและสินเชื่อพร้อมใช้ “เคทีซี แคช รีโวล์ฟ” ชี้แม้ภาพรวมธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคยังขยายตัวไม่สูงนัก แต่เคทีซียังมุ่งรักษาความเป็นผู้นำและรักษาแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ด้วยการใช้นโยบายขยายธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และเดินแผนการตลาดที่แตกต่างจากคู่แข่งขัน โดยเน้นใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าขนาดใหญ่รวม 1.97 ล้านบัญชี ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงตลาดเฉพาะกลุ่มที่เป็นไลฟ์สไตล์ เซ็กเม้นเทชั่น รวมไปถึงการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ กระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรและช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริโภค เน้นการให้สิทธิประโยชน์ที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จากการเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์กับเครือข่ายพันธมิตรยักษ์ใหญ่หลากธุรกิจทั้งสถานีบริการน้ำมัน ดิสเค้านท์สโตร์ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลและบริการท่องเที่ยว
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เนื่องจากแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น เคทีซีจึงมีนโยบายในการขยายธุรกิจอย่างระมัดระวัง และมุ่งใช้ประโยชน์จากฐานสมาชิกขนาดใหญ่ที่มีอยู่เป็นหลัก โดยวิเคราะห์และศึกษาความต้องการของลูกค้าแบบเจาะลึก เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการใช้จ่ายผ่านบัตรและการกู้ยืมผ่านสินเชื่อบุคคล โดยยังคงเดินหน้าในการเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน (Everyday Usage) กับพันธมิตรทุกธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับตลาดเฉพาะกลุ่ม เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างจากคู่แข่งขันรายอื่น และรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทฯ มีภาพรวมของผลประกอบการไม่ต่างจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการที่ “วีซ่า อิงค์” (Visa Inc.) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 217 ล้านบาท จาก 136 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2550 และมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.84 บาท ฐานสมาชิกรวม 1.97 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปี 2550 โดยสมาชิกใหม่มาจากบัตรเครดิตและสินเชื่อพร้อมใช้ “เคทีซี แคช รีโวล์ฟ” (KTC CASH Revolve) และมีจำนวนบัตรเครดิต 1,493,860 บัตร สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช” เท่ากับ 479,639 บัญชี และสินเชื่อเจ้าของกิจการ “เคทีซี มิลเลี่ยน” เท่ากับ 2,810 บัญชี”
“สำหรับฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 45,611 ล้านบาท ลดลงจาก 45,919 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 42,840 ล้านบาท ลดลงจาก 43,196 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 ประกอบด้วยยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 29,989 ล้านบาท ลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิ 510 ล้านบาท สินเชื่อบุคคลเคทีซี แคช สุทธิ 10,930 ล้านบาท และสินเชื่อเจ้าของกิจการ เคทีซี มิลเลี่ยน สุทธิ 1,410 ล้านบาท ซึ่งการที่มูลค่าของพอร์ตลูกหนี้รวมลดลงเป็นผลกระทบจากกฎเกณฑ์เรื่องการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำของธุรกิจบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ของยอดหนี้ค้างชำระ ประกอบกับความ ไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและชะลอการสร้างภาระหนี้ ทำให้ยอดลูกหนี้รวมเพิ่มขึ้นไม่มากนัก คิดเป็น 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550”
“บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาสแรก ปี 2551 เท่ากับ 2,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายการพิเศษที่ได้รับจากการที่เคทีซีเป็นสมาชิกของ “วีซ่า อิงค์” (Visa Inc.) และวีซ่าได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากตัดรายการพิเศษดังกล่าว จะเห็นได้ว่ารายได้รวมของบริษัทฯ เติบโต 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550 ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยรับรวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 1,991 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 สำหรับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) หลังปรับรายการพิเศษจากวีซ่าเท่ากับ 49% ลดลงจาก 50% ณ สิ้นปี 2550 เป็นผลจากอัตราเติบโตของรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงาน อีกทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพโดยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารอื่นๆ ลง”
“ส่วนของต้นทุนเงินทุนของบริษัทฯ ลดลงจาก 4.87% เหลือ 4.62% ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2551 เนื่องจากบริษัทฯ ออกหุ้นกู้ใหม่ (Refinance) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยมีค่าเท่ากับ 4.1% เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระคืน ซึ่งเคยมีอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.4-5.5% ประกอบกับจำนวนเงินกู้ยืมที่ลดลงจาก สิ้นปีที่ผ่านมา และการกระจายแหล่งที่มาในการจัดหาเงินกู้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้รับอัตรารายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยสูงขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็น 20% จึงมีผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 13.40% เป็น 13.89%”
“อย่างไรก็ตาม เคทีซียังคงความสามารถในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และจะแสวงหาโอกาสทางธุรกิจและสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งตอกย้ำความเป็นผู้นำในการเพิ่มช่องทางการใช้คะแนนสะสมที่แตกต่าง โดยสมาชิกสามารถใช้แลกได้เร็วกว่าและหลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น ทั้งใช้แทนเงินสด ใช้แลกสินค้า ใช้ทำบุญ ใช้ผ่อนชำระค่าสินค้าและบริการ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญในการอนุมัติสมาชิกใหม่อย่างรอบคอบและรัดกุม โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระคืนของสมาชิกเป็นสำคัญ ตลอดจนเน้นการบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ให้มีประสิทธิภาพ” นายนิวัตต์กล่าวปิดท้าย
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เนื่องจากแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น เคทีซีจึงมีนโยบายในการขยายธุรกิจอย่างระมัดระวัง และมุ่งใช้ประโยชน์จากฐานสมาชิกขนาดใหญ่ที่มีอยู่เป็นหลัก โดยวิเคราะห์และศึกษาความต้องการของลูกค้าแบบเจาะลึก เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการใช้จ่ายผ่านบัตรและการกู้ยืมผ่านสินเชื่อบุคคล โดยยังคงเดินหน้าในการเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน (Everyday Usage) กับพันธมิตรทุกธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับตลาดเฉพาะกลุ่ม เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างจากคู่แข่งขันรายอื่น และรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทฯ มีภาพรวมของผลประกอบการไม่ต่างจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการที่ “วีซ่า อิงค์” (Visa Inc.) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 217 ล้านบาท จาก 136 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2550 และมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.84 บาท ฐานสมาชิกรวม 1.97 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปี 2550 โดยสมาชิกใหม่มาจากบัตรเครดิตและสินเชื่อพร้อมใช้ “เคทีซี แคช รีโวล์ฟ” (KTC CASH Revolve) และมีจำนวนบัตรเครดิต 1,493,860 บัตร สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช” เท่ากับ 479,639 บัญชี และสินเชื่อเจ้าของกิจการ “เคทีซี มิลเลี่ยน” เท่ากับ 2,810 บัญชี”
“สำหรับฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 45,611 ล้านบาท ลดลงจาก 45,919 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 42,840 ล้านบาท ลดลงจาก 43,196 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 ประกอบด้วยยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 29,989 ล้านบาท ลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิ 510 ล้านบาท สินเชื่อบุคคลเคทีซี แคช สุทธิ 10,930 ล้านบาท และสินเชื่อเจ้าของกิจการ เคทีซี มิลเลี่ยน สุทธิ 1,410 ล้านบาท ซึ่งการที่มูลค่าของพอร์ตลูกหนี้รวมลดลงเป็นผลกระทบจากกฎเกณฑ์เรื่องการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำของธุรกิจบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ของยอดหนี้ค้างชำระ ประกอบกับความ ไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและชะลอการสร้างภาระหนี้ ทำให้ยอดลูกหนี้รวมเพิ่มขึ้นไม่มากนัก คิดเป็น 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550”
“บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาสแรก ปี 2551 เท่ากับ 2,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายการพิเศษที่ได้รับจากการที่เคทีซีเป็นสมาชิกของ “วีซ่า อิงค์” (Visa Inc.) และวีซ่าได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากตัดรายการพิเศษดังกล่าว จะเห็นได้ว่ารายได้รวมของบริษัทฯ เติบโต 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550 ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยรับรวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 1,991 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 สำหรับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) หลังปรับรายการพิเศษจากวีซ่าเท่ากับ 49% ลดลงจาก 50% ณ สิ้นปี 2550 เป็นผลจากอัตราเติบโตของรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงาน อีกทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพโดยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารอื่นๆ ลง”
“ส่วนของต้นทุนเงินทุนของบริษัทฯ ลดลงจาก 4.87% เหลือ 4.62% ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2551 เนื่องจากบริษัทฯ ออกหุ้นกู้ใหม่ (Refinance) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยมีค่าเท่ากับ 4.1% เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระคืน ซึ่งเคยมีอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.4-5.5% ประกอบกับจำนวนเงินกู้ยืมที่ลดลงจาก สิ้นปีที่ผ่านมา และการกระจายแหล่งที่มาในการจัดหาเงินกู้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้รับอัตรารายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยสูงขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็น 20% จึงมีผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 13.40% เป็น 13.89%”
“อย่างไรก็ตาม เคทีซียังคงความสามารถในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และจะแสวงหาโอกาสทางธุรกิจและสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งตอกย้ำความเป็นผู้นำในการเพิ่มช่องทางการใช้คะแนนสะสมที่แตกต่าง โดยสมาชิกสามารถใช้แลกได้เร็วกว่าและหลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น ทั้งใช้แทนเงินสด ใช้แลกสินค้า ใช้ทำบุญ ใช้ผ่อนชำระค่าสินค้าและบริการ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญในการอนุมัติสมาชิกใหม่อย่างรอบคอบและรัดกุม โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระคืนของสมาชิกเป็นสำคัญ ตลอดจนเน้นการบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ให้มีประสิทธิภาพ” นายนิวัตต์กล่าวปิดท้าย