ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.เผยธุรกิจบัตรเครดิตเริ่มถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มหันมาจูงใจลูกค้ามาใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น ระบุยังไม่จำเป็นต้องออกกฎเกณฑ์ใหม่มาดูแลธุรกิจนี้ เพราะเกณฑ์ที่ใช้อยู่ยังดูแลได้ดี ย้ำนโยบายกระตุ้นการบริโภคต้องคำนึงเงินออมด้วย เพราะไม่เช่นนั้นจะก่อหนี้เพิ่มขึ้น
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้ธุรกิจบัตรเครดิตขยายตัวในระดับ 10% ถือว่าอยู่ในจุดอิ่มตัวอยู่แล้ว และเชื่อว่าต่อไปจะเติบโตไม่แรงนัก ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มปรับกลยุทธ์มาจูงใจลูกค้าบัตรเครดิตให้หันมาใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น และขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์อะไรเข้ามาดูแลธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเพิ่มเติม เพราะกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่ปัจจุบันที่ออกมาตั้งแต่ปี 45 หรือประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมายังสามารถดูแลได้เป็นดีอยู่
“ในตอนนี้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตพยายามจะแย่งฐานลูกค้าบัตรเครดิตของผู้ประกอบการรายอื่นๆและมีช่องทางที่หลากหลายทั้งออกไปหาลูกค้าใหม่ๆ ในต่างจังหวัด เสนอบริการบัตรเดบิตบางหรือแม้แต่ร่วมกับห้างสรรพสินค้าจัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สรุปว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาคครัวเรือนมีการก่อหนี้ผ่านการขอสินเชื่อลดลงเมื่อเทียบกับรายได้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในปัจจุบันที่เราดูอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ห่วงนัก”
อย่างไรก็ตาม การออกกฎเกณฑ์มาดูแลธุรกิจบัตรเครดิตต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ธปท.จึงต้องการให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้สามารถยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้ก่อน และไม่อยากให้มีปัญหาอย่างสหรัฐที่ประชาชนส่วนใหญ่มีหนี้สิน นอกจากนี้ การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในประเทศเองก็ต้องคำนึงถึงเงินออมว่ามีเพียงพอไหม เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะกระตุ้นการบริโภคกลับก่อหนี้เสียขึ้นได้
“หากพิจารณาโดยรวมแล้วภาระที่จะสร้างหนี้ให้เพิ่มขึ้นมีน้อยมาก เพราะในธุรกิจนี้มีบางปัจจัยก็สนับสนุนให้ขยายตัวได้ดีและแย่บ้าง แต่ก็สามารถชดเชยกันได้ และปริมาณลูกค้าบัตรเครดิตก็ไม่เยอะเกินไป นอกจากนี้ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้าก็มีความระมัดระวังมากขึ้น”
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ส่วนธุรกิจสินเชื่อบุคคลก็มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)น้อยมากประมาณ 3-4% เนื่องจากผู้ประกอบการเกรงว่าจะนำรายได้มาชดเชยการสูญเสียที่เกิดจากหนี้เอ็นพีแอล ทำให้มีการตัดหนี้สูญได้เร็ว
สำหรับประเด็นคำถามที่ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ธปท.จะมีการปรับเพดานเงินเดือนของผู้ที่ถือบัตรเครดิตลงนั้น นายเกริก กล่าวว่า ธปท.ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้และมองว่าจะเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปก่อหนี้เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก และลูกค้าหลักที่ขอสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ก็มีรายรับที่ครอบคลุมรายจ่ายที่ดีแล้ว
โดยก่อนหน้านี้ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.ได้ออกประกาศปรับปรุงขอบเขตของผู้มีคุณสมบัติมีบัตรเครดิตได้กรณีที่ไม่มีเงินเดือนหรือรายได้ประจำหมุนเวียนเดือนละ 15,000 บาทต่อเดือน หรือปีละ180,000 บาท โดยในส่วนของผู้ประกอบการบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) นั้น ธปท.ขยายขอบเขตให้อนุมัติบัตรเครดิตให้ผู้สมัครที่มีเงินฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ใดๆ ก็ได้ ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท เป็นระยะยาวไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือมีเงินฝาก และการลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือกองทุนใดๆ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่ต่ำกว่า1 ล้านบาท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนได้จากเดิมที่มีไม่มีการกำหนดคุณสมบัติข้อดังกล่าวนี้ ในการพิจารณาคุณสมบัติผู้มีบัตรเครดิตของนอนแบงก์
ส่วนกรณีของผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่เป็นธนาคารพาณิชย์ ธปท.อนุญารให้ปรับขยายขอบเขตของคุณสมบัติของผู้สมัครขอมีบัตรหลักเพิ่มเติมในลักษณะเดียวกัน โดยอนุญาตให้อนุมัติบัตรเครดิตให้ผู้สมัครที่มีเงินฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ใดๆ ก็ได้ ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท เป็นระยะยาวไม่น้อยกว่า 6 เดือนจากเดิมที่อนุญาตให้เฉพาะผู้สมัครที่มีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารเจ้าของบัตรเท่านั้น นอกจากนั้น ธนาคารพาณิชย์ ยังอนุมัติบัตรเครดิตให้กับผู้มีเงินฝาก และหรือการลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือกองทุนใดๆอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนได้ด้วย
โดยประกาศดังกล่าวเป็นการเพิ่มขอบเขตและขยายบุคคลที่สามารถมีบัตรเครดิตได้จากเดิมที่ผู้มีเงินฝาก หรือมีการลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินลงทุนในกองทุนต่างธนาคาร จะไม่สามารถมีคุณสมบัตรในการสมัครและได้รับบัตรเครดิตต่างธนาคารที่มีบัญชีเงินฝาก หรือมีการลงทุนได้ แต่ในขณะนี้ไม่มีข้อจำกัด หากมีเงินฝาก หรือการลงทุนจามจำนวนที่ ธปท.กำหนดสามารถที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารใดหรือนอนแบงก์รายใดก็ได้
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้ธุรกิจบัตรเครดิตขยายตัวในระดับ 10% ถือว่าอยู่ในจุดอิ่มตัวอยู่แล้ว และเชื่อว่าต่อไปจะเติบโตไม่แรงนัก ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มปรับกลยุทธ์มาจูงใจลูกค้าบัตรเครดิตให้หันมาใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น และขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์อะไรเข้ามาดูแลธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเพิ่มเติม เพราะกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่ปัจจุบันที่ออกมาตั้งแต่ปี 45 หรือประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมายังสามารถดูแลได้เป็นดีอยู่
“ในตอนนี้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตพยายามจะแย่งฐานลูกค้าบัตรเครดิตของผู้ประกอบการรายอื่นๆและมีช่องทางที่หลากหลายทั้งออกไปหาลูกค้าใหม่ๆ ในต่างจังหวัด เสนอบริการบัตรเดบิตบางหรือแม้แต่ร่วมกับห้างสรรพสินค้าจัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สรุปว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาคครัวเรือนมีการก่อหนี้ผ่านการขอสินเชื่อลดลงเมื่อเทียบกับรายได้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในปัจจุบันที่เราดูอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ห่วงนัก”
อย่างไรก็ตาม การออกกฎเกณฑ์มาดูแลธุรกิจบัตรเครดิตต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ธปท.จึงต้องการให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้สามารถยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้ก่อน และไม่อยากให้มีปัญหาอย่างสหรัฐที่ประชาชนส่วนใหญ่มีหนี้สิน นอกจากนี้ การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในประเทศเองก็ต้องคำนึงถึงเงินออมว่ามีเพียงพอไหม เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะกระตุ้นการบริโภคกลับก่อหนี้เสียขึ้นได้
“หากพิจารณาโดยรวมแล้วภาระที่จะสร้างหนี้ให้เพิ่มขึ้นมีน้อยมาก เพราะในธุรกิจนี้มีบางปัจจัยก็สนับสนุนให้ขยายตัวได้ดีและแย่บ้าง แต่ก็สามารถชดเชยกันได้ และปริมาณลูกค้าบัตรเครดิตก็ไม่เยอะเกินไป นอกจากนี้ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้าก็มีความระมัดระวังมากขึ้น”
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ส่วนธุรกิจสินเชื่อบุคคลก็มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)น้อยมากประมาณ 3-4% เนื่องจากผู้ประกอบการเกรงว่าจะนำรายได้มาชดเชยการสูญเสียที่เกิดจากหนี้เอ็นพีแอล ทำให้มีการตัดหนี้สูญได้เร็ว
สำหรับประเด็นคำถามที่ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ธปท.จะมีการปรับเพดานเงินเดือนของผู้ที่ถือบัตรเครดิตลงนั้น นายเกริก กล่าวว่า ธปท.ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้และมองว่าจะเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปก่อหนี้เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก และลูกค้าหลักที่ขอสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ก็มีรายรับที่ครอบคลุมรายจ่ายที่ดีแล้ว
โดยก่อนหน้านี้ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.ได้ออกประกาศปรับปรุงขอบเขตของผู้มีคุณสมบัติมีบัตรเครดิตได้กรณีที่ไม่มีเงินเดือนหรือรายได้ประจำหมุนเวียนเดือนละ 15,000 บาทต่อเดือน หรือปีละ180,000 บาท โดยในส่วนของผู้ประกอบการบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) นั้น ธปท.ขยายขอบเขตให้อนุมัติบัตรเครดิตให้ผู้สมัครที่มีเงินฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ใดๆ ก็ได้ ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท เป็นระยะยาวไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือมีเงินฝาก และการลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือกองทุนใดๆ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่ต่ำกว่า1 ล้านบาท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนได้จากเดิมที่มีไม่มีการกำหนดคุณสมบัติข้อดังกล่าวนี้ ในการพิจารณาคุณสมบัติผู้มีบัตรเครดิตของนอนแบงก์
ส่วนกรณีของผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่เป็นธนาคารพาณิชย์ ธปท.อนุญารให้ปรับขยายขอบเขตของคุณสมบัติของผู้สมัครขอมีบัตรหลักเพิ่มเติมในลักษณะเดียวกัน โดยอนุญาตให้อนุมัติบัตรเครดิตให้ผู้สมัครที่มีเงินฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ใดๆ ก็ได้ ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท เป็นระยะยาวไม่น้อยกว่า 6 เดือนจากเดิมที่อนุญาตให้เฉพาะผู้สมัครที่มีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารเจ้าของบัตรเท่านั้น นอกจากนั้น ธนาคารพาณิชย์ ยังอนุมัติบัตรเครดิตให้กับผู้มีเงินฝาก และหรือการลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือกองทุนใดๆอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนได้ด้วย
โดยประกาศดังกล่าวเป็นการเพิ่มขอบเขตและขยายบุคคลที่สามารถมีบัตรเครดิตได้จากเดิมที่ผู้มีเงินฝาก หรือมีการลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินลงทุนในกองทุนต่างธนาคาร จะไม่สามารถมีคุณสมบัตรในการสมัครและได้รับบัตรเครดิตต่างธนาคารที่มีบัญชีเงินฝาก หรือมีการลงทุนได้ แต่ในขณะนี้ไม่มีข้อจำกัด หากมีเงินฝาก หรือการลงทุนจามจำนวนที่ ธปท.กำหนดสามารถที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารใดหรือนอนแบงก์รายใดก็ได้
