เอกชนแห้วขอใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว “ศศิธารา” ตั้ง “ภิรมย์” นั่งประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ หลังรับโอนงานมาจาก ททท. พร้อมสั่งตีความข้อกฏหมายเป็นวาระเร่งด่วน หวั่นถูกโวยเลือกปฎิบัติ และ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทุกฝ่าย
นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงฯได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีนายภิรมย์ สิมะเสถียร รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นประธาน ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวเป็นการตั้งขึ้นมาแทนชุดเก่าที่หมดวาระไปตามการประกาศใช้ พ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่
ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าว กำลังอยู่ระหว่างการร่างระเบียบการขอใช้เงินกองทุนฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็นภาระกิจเร่งด่วน โดย พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 ซึ่งเป็น พ.ร.บ.ฉบับนี้จะดูแลครอบคลุมถึงกรอบการใช้เงินของกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย แต่ทั้งนี้ในรายละเอียดของ พ.ร.บ. ระบุว่า หน่วยงานที่สามารถขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนได้ จะต้องเป็น หน่วยงานราชการ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ภาคเอกชนจะไม่สามารถขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนนี้ได้ ดังนั้น ทางกระทรวงฯและคณะกรรมการจะต้องตีความในข้อกำหนดที่ระบุไว้ดังกล่าวอีกครั้งว่าหมายความอย่างไร
“เพื่อไม่ให้มีปัญหา เราต้องตีความกฎหมายให้ละเอียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยว่า หน่วยงานราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่างได้รับงบประมาณจากภาครัฐอยู่แล้ว แต่ทำไมยังขอใช้เงินจากกองทุนได้อีก แล้วหน่วยงานในรูปของสหกรณ์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของคนในชุมชน อาจจะมีการทำงานร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล คิดโปรเจคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นมา อย่างนี้จะขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนได้หรือไม่ เป็นต้น แต่ในกรณีบริษัทเอกชนเดี่ยวๆ กฎหมายระบุชัดเจนว่าขอรับเงินจากกองทุนไม่ได้แน่นอน”
นอกจากนั้น คณะกรรมการชุดนี้จะต้องร่างไว้ในกฎระเบียบกองทุนฯ ด้วยว่า หลักเกณฑ์การพิจารณาให้เงินกองทุน ระยะเวลาการขอใช้เงินจากกองทุน และ สัดส่วนการใช้เงินกองทุนฯ ว่าจะจัดสรรสนับสนุนการท่องเที่ยวในด้านใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าใด เช่น ด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ,พัฒนาบุคคลากร งานด้านการวิจัย และด้านการตลาด เป็นต้น ซึ่งหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องยึดข้อกฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม กองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้เริ่มก่อตั้งมาประมาณปี พ.ศ.2547 มีทุนประเดิมจัดตั้งกองทุนจากรัฐบาล 25 ล้านบาท และต่อมาได้เพิ่มอีก 600 ล้านบาท จุดประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯนี้ขึ้นมาก็เพื่อ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เน้นเรื่องของการเป็นเงินทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สร้างกิจกรรมทางการท่องเที่ยวใหม่ๆขึ้นมากระตุ้นตลาด การพัฒนาทักษะในด้านการบริการ และบุคคลากร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ ททท.เป็นหน่วยงานที่ดูแลบริหารเงินกองทุนดังกล่าว แต่เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ. การท่องเที่ยวฯฉบับใหม่ ได้มีการโอนย้ายงานในสว่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ททท. มาให้กระทรวงการท่องเที่ยวเป็นผู้ดูแล เช่น สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และ กองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว นี้ด้วย แต่ทั้งนี้ การขอใช้เงินกองทุนฯแต่ละครั้ง ถ้าเป็นเงินจำนวนมากก็ต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งชาติด้วย
สำหรับปีงบประมาณ 2551 กองทุนฯได้รับเงินจัดสรรจากรัฐบาล วงเงิน 50 ล้านบาท โดยก่อนที่จะโอนย้ายกองทุนฯมาอยู่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท.ได้อนุมัติใช้เงินกองทุนฯไปแล้ว 4 โครงการ รวมเป็นเงิน 42 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อนับเริ่มตั้งแต่ตั้งกองทุนฯตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ได้รับเงินจัดสรรวมแล้วทั้งสิ้น 675 ล้านบาท มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือไปแล้ว 52 โครงการ รวมเป็นเงิน 257.7 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันกองทุนฯมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 417.3 ล้านบาท
นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงฯได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีนายภิรมย์ สิมะเสถียร รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นประธาน ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวเป็นการตั้งขึ้นมาแทนชุดเก่าที่หมดวาระไปตามการประกาศใช้ พ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่
ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าว กำลังอยู่ระหว่างการร่างระเบียบการขอใช้เงินกองทุนฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็นภาระกิจเร่งด่วน โดย พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 ซึ่งเป็น พ.ร.บ.ฉบับนี้จะดูแลครอบคลุมถึงกรอบการใช้เงินของกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย แต่ทั้งนี้ในรายละเอียดของ พ.ร.บ. ระบุว่า หน่วยงานที่สามารถขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนได้ จะต้องเป็น หน่วยงานราชการ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ภาคเอกชนจะไม่สามารถขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนนี้ได้ ดังนั้น ทางกระทรวงฯและคณะกรรมการจะต้องตีความในข้อกำหนดที่ระบุไว้ดังกล่าวอีกครั้งว่าหมายความอย่างไร
“เพื่อไม่ให้มีปัญหา เราต้องตีความกฎหมายให้ละเอียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยว่า หน่วยงานราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่างได้รับงบประมาณจากภาครัฐอยู่แล้ว แต่ทำไมยังขอใช้เงินจากกองทุนได้อีก แล้วหน่วยงานในรูปของสหกรณ์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของคนในชุมชน อาจจะมีการทำงานร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล คิดโปรเจคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นมา อย่างนี้จะขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนได้หรือไม่ เป็นต้น แต่ในกรณีบริษัทเอกชนเดี่ยวๆ กฎหมายระบุชัดเจนว่าขอรับเงินจากกองทุนไม่ได้แน่นอน”
นอกจากนั้น คณะกรรมการชุดนี้จะต้องร่างไว้ในกฎระเบียบกองทุนฯ ด้วยว่า หลักเกณฑ์การพิจารณาให้เงินกองทุน ระยะเวลาการขอใช้เงินจากกองทุน และ สัดส่วนการใช้เงินกองทุนฯ ว่าจะจัดสรรสนับสนุนการท่องเที่ยวในด้านใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าใด เช่น ด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ,พัฒนาบุคคลากร งานด้านการวิจัย และด้านการตลาด เป็นต้น ซึ่งหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องยึดข้อกฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม กองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้เริ่มก่อตั้งมาประมาณปี พ.ศ.2547 มีทุนประเดิมจัดตั้งกองทุนจากรัฐบาล 25 ล้านบาท และต่อมาได้เพิ่มอีก 600 ล้านบาท จุดประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯนี้ขึ้นมาก็เพื่อ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เน้นเรื่องของการเป็นเงินทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สร้างกิจกรรมทางการท่องเที่ยวใหม่ๆขึ้นมากระตุ้นตลาด การพัฒนาทักษะในด้านการบริการ และบุคคลากร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ ททท.เป็นหน่วยงานที่ดูแลบริหารเงินกองทุนดังกล่าว แต่เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ. การท่องเที่ยวฯฉบับใหม่ ได้มีการโอนย้ายงานในสว่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ททท. มาให้กระทรวงการท่องเที่ยวเป็นผู้ดูแล เช่น สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และ กองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว นี้ด้วย แต่ทั้งนี้ การขอใช้เงินกองทุนฯแต่ละครั้ง ถ้าเป็นเงินจำนวนมากก็ต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งชาติด้วย
สำหรับปีงบประมาณ 2551 กองทุนฯได้รับเงินจัดสรรจากรัฐบาล วงเงิน 50 ล้านบาท โดยก่อนที่จะโอนย้ายกองทุนฯมาอยู่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท.ได้อนุมัติใช้เงินกองทุนฯไปแล้ว 4 โครงการ รวมเป็นเงิน 42 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อนับเริ่มตั้งแต่ตั้งกองทุนฯตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ได้รับเงินจัดสรรวมแล้วทั้งสิ้น 675 ล้านบาท มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือไปแล้ว 52 โครงการ รวมเป็นเงิน 257.7 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันกองทุนฯมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 417.3 ล้านบาท