“จักรมณฑ์” แนะรัฐบาลใหม่ไม่ควรประกาศล่วงหน้ายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ชี้ ธปท.เห็นเหมาะสมจะยกเลิกทันทีเมื่อใดก็ได้ ยันระยะสั้นนี้ยังไม่เหมาะที่จะยกเลิก พร้อมแย้ม กนง.ลดดอกเบี้ยลงหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเฟด ด้านเอกชนหนุนคงไว้ก่อนรอดูท่าทีซับไพร์มให้ชัดอย่างน้อยไตรมาส 2 ส่วนมาตรการขยายเวลาถือครองดอลลาร์เป็น 360 วัน มองช่วยได้จิ๊บจ๊อยเหตุผู้ส่งออกส่วนหนึ่งต้องแลกบาทเพื่อซื้อวัตถุดิบ หรือลงทุนต่อ
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า มาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมานั้นระยะสั้นช่วงนี้เห็นว่าไม่ควรจะยกเลิกจนกว่าจะเห็นทิศทางการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือซับไพร์มของสหรัฐอเมริกาได้ชัดเจนกว่านี้ก่อน ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรจะประกาศยกเลิกเพราะมาตรการดังกล่าวไปล่วงหน้าทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะการจะยกเลิกทันทีเมื่อใดก็ได้หากทาง ธปท.เห็นว่าเหมาะสม
สำหรับปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯนั้น มีผลกระทบการส่งออกของไทยไม่มากนัก เพราะเอกชนมีการปรับตัวพึ่งพิงตลาดอื่นแทน แต่ต้องติดตามว่าจะมีผลกระทบการส่งออกทางอ้อมที่ประเทศไทยส่งชิ้นส่วนไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯอีกทอดหนึ่งหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ภาพยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นยังกระทบกับการไหลเข้ามาของเงินทุนส่งผลให้บาทมีการแข็งค่าขึ้นซึ่งก็ถือว่าสะท้อนตามกลไกไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การประชุมกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.27 ก.พ.นี้ นายจักรมณฑ์ ในฐานะกรรมการ กนง.กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัวนั้นการที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่คงจะไม่เกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดปรับลดลงไปรวมแล้วถึง 1.25% แต่อย่างใดเพราะการที่เฟดปรับลดลงแรง เนื่องจากต้องการแก้ไขปัญหาความถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง ส่วนหากไทยจะปรับลดลงเพราะเหตุผลในการกระตุ้นการบริโภคจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งแต่ก็มีนักการเงินหลายฝ่ายมองว่าการกระตุ้นบริโภคดีสุดคือการใช้นโยบายทางการคลัง
“ดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ 0.25% แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่ากลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู ซะอีกหากยังมี 30% ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยลงในการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแต่หากจะทำเพื่ออย่างอื่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง” นายจักรมณฑ์ กล่าว
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสายงานเศรษฐกิจสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทมีทิศทางผันผวนจึงไม่เหมาะสมที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในช่วงที่ค่าเงินบาทผันผวนซึ่งหากทำก่อนหน้านี้ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค่าบาทมีเสถียรภาพคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่เมื่อมีปัญหาซับไพร์มแล้วเห็นว่าทิศทางบาทจะยังคงผันผวน เพราะคาดว่าเงินทุนจะไหลเข้ามาอีก ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรจะรอดูความชัดเจนก่อนอย่างน้อยในไตรมาส 2 เพิ่มถือครองดอลลาร์ช่วยไม่มาก
สำหรับกรณีที่ ธปท.ออกประกาศเรื่องการผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเพิ่มเติมด้วยการขยายเวลาถือครองดอลลาร์เพิ่มเป็น 360 วันนั้น เห็นว่า ไม่ใช่นโยบายในการที่จะสกัดเงินทุนไหลเข้าแต่อย่างใด หากเพียงชะลอการแข็งค่าของบาทได้เล็กน้อยเท่านั้นเพราะในอดีตการผ่อนผัน 120 วันนั้น ก็ไม่ได้ทำให้บาทอ่อนค่าได้มากเนื่องจากต้องยอมรับว่าผู้ส่งออกเองส่วนหนึ่งต้องแปลงเป็นเงินบาทเพื่อนำไปซื้อวัตถุดิบหรือลงทุนอื่นอีกไม่ได้รวยพอที่จะถือครองไว้และยังเสี่ยงต่อการขาดทุน
“ดอกเบี้ยของไทยที่ต่ำกว่าสหรัฐฯนั้น มีส่วนทำให้เงินทุนไหลเข้ามามากด้วย ดังนั้น การลดดอกเบี้ยลงจะมีส่วนช่วยได้มากในการสกัดเงินทุนไหลเข้าแต่หากจะลดลงเพียง 0.25% ก็คงไม่มีผลเว้นแต่จะกล้าลง 0.5%” นายธนิต กล่าว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีที่ ธปท.ออกประกาศเรื่องการผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเพิ่มเติมด้วยการขยายเวลาถือครองดอลลาร์เพิ่มเป็น 360 วันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะสิ่งนี้เอกชนได้เคยเสนอไปนานแล้ว แต่หากเป็นไปได้น่าจะพิจารณาการทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้า หรือฟอร์เวิร์ด รัฐควรพิจารณาให้นำไปหักรายจ่ายได้ 2 เท่าก็จะทำให้การนำเงินสกุลอื่นไปแลกบาทลดลง อย่างไรก็ตามการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% นั้น เวลานี้ไม่ควรยกเลิกวันแต่เห็นว่ามีเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาดูแลแทนได้