xs
xsm
sm
md
lg

ท่อก๊าซ ปตท.ยื้อ ครม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ค่าเช่าท่อก๊าซ ปตท.วุ่นไม่เลิก หลัง “ปิยสวัสดิ์” บุกกระทรวงคลัง ให้คำนวณค่าเช่าท่อก๊าซโดยไม่ต้องคำนึงถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง รองปลัดคลัง ยอมรับวันนี้ยังไม่เข้า ครม.ต้องเลื่อนไปอีก 1 สัปดาห์ เพราะไม่สามารถเสนอหลักเกณฑ์การเก็บ เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของฐานรายได้ ที่นำมาใช้ในการคำนวณ

วานนี้ (21 ม.ค.) นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกะทรวงพลังงาน และผู้บริหารของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) ได้เดินทางเข้าพบ นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือถึงอัตราค่าเช่าท่อก๊าช ปตท.ที่ต้องจ่ายให้กับกระทรวงการคลัง ก่อนที่จะสรุปและเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบกำหนดรายงานให้ ครม.รับทราบ

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการร่วมหารือ ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 มกราคมนี้ กระทรวงการคลังจะยังไม่เสนอแนวทางการคิดค่าเช่าท่อส่งก๊าซ ปตท.ให้แก่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบ เนื่องจากยังไม่สามารถสรุปฐานรายได้ที่ชัดเจนได้ โดยคาดว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะรายงานความคืบหน้าของการกำหนดค่าเช่าท่อก๊าซที่ทางการจะคิดกับ บมจ.ปตท.เพื่อขอขยายเวลาการหาข้อสรุปออกไปอีก 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การสรุปเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซของ ปตท.จะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน

“การประชุมระหว่างกระทรวงการคลัง และ ปตท.ไม่จบ เพราะยังสรุปฐานรายได้ไม่ได้ แต่คงไม่ยืดเยื้อไปถึงรัฐบาลใหม่ น่าจะเสร็จ ทันภายในสัปดาห์หน้า” นายสถิตย์ กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์การกำหนดค่าเช่าที่ราชพัสดุ และท่อส่งก๊าซราย บมจ.ปตท.ได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาแนวทางการจัดเก็บค่าเช่าท่อก๊าซที่ 10% ของรายได้ในอนาคตที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โดยคาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 4.5 พันล้านบาทต่อปี ส่วนการคำนวณค่าเช่าจากฐานรายได้ตั้งแต่ปี 2545-2549 นั้น มีการลดฐานรายได้ลงเหลือ 4.5 พันล้านบาทต่อปี จากเดิมที่กระทรวงการคลังมองว่ารายได้น่าจะอยู่ที่ 5.7 พันล้านบาทต่อปี และคิดในอัตรา 10% เช่นกัน โดยการปรับลดฐานรายได้ในการคำนวณดังกล่าว เนื่องจากทาง ปตท.ได้เสนอขอเปลี่ยนฐานรายได้เหลือเพียงในการประชุมครั้งล่าสุด ที่ 3.6 พันล้านบาทต่อปี ขณะที่ตัวเลขจริงที่ออกมาเป็น 5.7 พันล้านบาท จึงมีการตกลงร่วมกันที่จะกำหนดฐานรายได้ออกมาที่ 4.5 พันล้านบาทต่อปี

“ในการประชุมร่วมกันมาหลายรอบ พบว่า ตัวเลขของ ปตท.เปลี่ยนทุกวัน ทำให้คณะทำงานจึงต้องเสนอเป็นเงื่อนไข สำหรับรายได้ในอนาคต ตั้งแต่ปี 2551 ไป ให้ใช้ตัวเลขที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รับรองแต่ละปีเป็นฐาน เพราะถือว่าเป็นตัวเลขที่เป็นที่สุด และอนุญาตให้เอาเงินลงทุน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการขาย การบำรุงรักษาท่อมาหักออกได้ โดยคาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาทต่อปี และคิดอัตราค่าเช่าที่ 10% บนฐานรายได้ ซึ่งแม้จะใช้าสูตรนี้แล้วหลังจากจ่ายค่าเช่าให้กับกระทรวการคลังแล้ว ปตท.ก็ยังมีผลตอแทบต่อสินทรัพย์ หรือ ROA อยู่ที่ 12% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น้อย และถือว่าเป็นธรรมกับ ปตท.ด้วย” แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อจากนี้ ต้องขึ้นกับการเจรจาระหว่าง นายฉลองภพ และ นายปิยสวัสดิ์ ว่า จะสามารถตกลงกันได้ และยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวหรือไม่ หรือจะเลือกให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดสินว่า จะรับแนวทางดังกล่าวหรือไม่

สำหรับภาระภาษีของ ปตท.นั้น นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า เหลือเพียงการให้นำค่าเช่าไปหักเป็นค่าใช้จ่าย ก่อนที่จะคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี 2545-2549 ก็คงจะมีการคำนวณใหม่ และคาดว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย ของ ปตท.มากนัก พร้อมทั้งจะงดเว้นเบี้ยปรับเงินเพิ่มให้กับ ปตท.ด้วย

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานอยากให้คำนวณค่าเช่าท่อก๊าซแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องคำนึงถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง โดยนำอัตราค่าเช่าท่อก๊าซคูณกับปริมาณก๊าซที่ผ่านท่อก๊าซ เฉพาะในส่วนที่เป็นของกระทรวงการคลัง ซึ่งมองว่า เป็นวิธีที่ง่ายกว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ที่จะใช้วิธีนำรายได้จากการผ่านท่อก๊าซโดยรวม หักรายได้ค่าผ่านท่อก๊าซที่ไม่ใช่ส่วนของกระทรวงการคลัง เช่น ท่อก๊าซในทะเล มาคูณกับอัตราค่าเช่าท่อก๊าซ อย่างไรก็ตาม มองว่า เรื่องดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังสามารถประกาศได้ทันที

***ดึงเงินสำรวจปิโตรเลียม 2.4 พันลบ.

วันเดียวกัน นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาให้สัมปทานเพื่อสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในเขตพื้นที่แปลงสำรวจบนบกและทะเลอ่าวไทยจากการเปิดให้เอกชนยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียม ครั้งที่ 20 จำนวน 11 สัมปทาน 13 แปลง สำรวจโดยแบ่งเป็นแปลงสำรวจบนบก 11 แปลง ทะเลอ่าวไทย 2 แปลง

สำหรับการให้สัมปทานครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/50 ให้แก่บริษัท เพิร์ล ออยล์ (ปิโตรเลียม) จำกัด 2.แปลงสำรวจอ่าวไทยหมายเลข G3/50 และแปลงสำรวจบนบก L19/50 ให้แก่บริษัท Sita Oil Exploration House,Inc 3.แปลงสำรวจบนบก L1/50 และ L2/50 แก่บริษัท นอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ออยล์ (ประเทศไทย) จำกัด 4.แปลงสำรวจบนบกเลข L15/50 แก่บริษัท Salamander Energy 5.แปลงสำรวจบนบก L18/50 ให้แก่บ.สยามมารีน จำกัด 6.แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L20/50 แก่บริษัท Carnarvon Petroleum และบริษัท Sun Resources NL 7.แปลงสำรวจบนบกเลข L 21/50 ให้แก่ บ.เพิร์ล ออยล์ (รีซอร์สเซส) จำกัด 8.แปลงบนบก 22/50 ให้แก่บริษัท Adani Welspun Exploration 9.แปลงสำรวจบนบก L45/50 และ L46/50 ให้แก่ บ.Mitra Energy 10. แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L16/50 ให้แก่ บ.Tatex Thailand

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า การให้สัมปทานครั้งนี้ จะทำให้เกิดการลงทุนด้านการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทยอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นเงินประมาณ 71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 2,485 ล้านบาทและได้รับผลประโยชน์ในรูปโบนัส ทุนการศึกษา เป็นเงิน 98 ล้านบาท และหากสำรวจพบปิโตรเลียมจะมีการลงทุนช่วงที่สอง คือ 3 ปีต่อมา เป็นเงินประมาณ 46.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือ 1,635 ล้านบาท

“การเปิดสัมปทานรอบ 20 มีผู้สนใจยื่นมากถึง 58 คำขอ ใน 38 แปลงสำรวจ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้อนุมัติให้ไปแล้ว 8 แปลงสำรวจ” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น