Trump's security strategy slams European allies and asserts US power in the Western Hemisphere
By MICHELLE L. PRICE Associated Press (AP)
คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยเอกสาร “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” (national security strategy) ฉบับใหม่ ซึ่งวาดภาพพวกพันธมิตรในยุโรปของอเมริกันว่าอ่อนแอ และตั้งจุดมุ่งหมายที่จะยืนยันอย่างแข็งขันอีกครั้งถึงฐานะของสหรัฐฯที่ครอบงำเหนือทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ขณะเดียวกันก็มุ่งมั่น “สร้างความสมดุลใหม่” ในความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับจีน และปรับเปลี่ยนไม่ถือว่าภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นจุดเน้นหนักสำคัญของตนอีกต่อไป
เอกสารฉบับนี้ ซึ่งเผยแพร่ออกมาในวันศุกร์ (5 ธ.ค.) เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องสร้างความปั่นป่วนสับสนให้แก่บรรดาพันธมิตรเก่าแก่ยาวนานของสหรัฐฯในยุโรป ทั้งจากถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพของพวกเขาและข้อกล่าวหาที่ว่าประเทศเหล่านี้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี รวมไปถึงการระบุอย่างเจ็บแสบว่ายุโรปกำลังเผชิญกับ “ลู่ทางความเป็นไปได้ที่อารยธรรมจะถูกลบทิ้ง” (prospect of civilizational erasure) ตลอดจนการตั้งข้อสงสัยข้องใจว่า การเป็นหุ้นส่วนกับอเมริกันของพวกเขานั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใดในระยะยาว
(เอกสารฉบับนี้ ซึ่งใช้ชื่อว่า National Security Strategy of the United States of America ทั้งฉบับมีความยาว 33 หน้า หรือหากนับเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหายุทธศาสตร์แท้ๆ โดยตัดส่วนประกอบอื่นๆ อย่างเช่น คำนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกไป ก็จะมีความยาว 29 หน้า ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.whitehouse.gov/wp-content/uploads/2025/12/2025-National-Security-Strategy.pdf -ผู้แปล)
เวลาเดียวกับที่คณะบริหารสหรัฐฯชุดนี้วิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดใส่พวกชาติพันธมิตรประชาธิปไตยตะวันตกในยุโรป อีกทั้งกำลังเปิดยุทธการสร้างแรงกดดันด้วยการถล่มโจมตีเรือจำนวนมากในอเมริกาใต้อยู่ในเวลานี้ พวกเขายังใช้เอกสารฉบับนี้มาตำหนิติเตียนความพยายามต่างๆ ที่ผ่านมาของคณะบริหารชุดก่อนๆ ของสหรัฐฯในการมุ่งปรับแต่งรูปโฉมหรือวิพากษ์วิจารณ์พวกชาติในภูมิภาคตะวันออกกลาง และประกาศหยุดยั้งความพยายามในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลและในนโยบายของประเทศเหล่านี้
ยุทธศาสตร์เช่นที่ว่ามาเหล่านี้ มุ่งที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ปรัชญา “อเมริกาต้องมาเป็นอันดับแรก” (America First) ของทรัมป์ ซึ่งสนับสนุนการไม่เข้าแทรกแซงกิจการในต่างประเทศ, ตั้งคำถามแสดงความข้องใจเอากับพวกความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนการจัดลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ต่างๆ ของสหรัฐฯ แบบที่ได้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายสิบปี
อย่างที่ในเอกสารชิ้นนี้ได้ระบุเอาไว้ว่า ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ “เหนือสิ่งอื่นใดเลยได้รับแรงจูงใจจากการมุ่งคำนึงถึงสิ่งซึ่งเป็นผลดีสำหรับอเมริกา – หรือพูดง่ายๆ ด้วยคำ 2 คำ ได้แก่ “America First” (อเมริกาต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง)
ตามกฎหมายแล้ว คณะบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกคนในแต่ละเทอมของการดำรงตำแหน่ง ต้องจัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอย่างน้อย 1 ฉบับ ออกมาเผยแพร่แก่สาธารณชน และเอกสารฉบับนี้ก็เป็นฉบับแรกนับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีผู้มาจากพรรครีพับลิกันผู้นี้กลับมาครองตำแหน่งเป็นวาระสองในเดือนมกราคมปีนี้ เนื้อหาของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากแนวทางที่วางเอาไว้โดยคณะบริหารพรรคเดโมแครตในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเน้นหนักที่การหาทางชุบชีวิตกลุ่มพันธมิตรต่างๆ ขึ้นมาใหม่ หลังจากหลายๆ กลุ่มทีเดียวได้เกิดความรวนเรสับสนในสมัยแรกแห่งการครองอำนาจของทรัมป์ รวมทั้งเน้นหนักทัดทานสกัดกั้นรัสเซียซึ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวยืนกรานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส.ส.เจสัน โครว์ (Jason Crow) แห่งพรรคเดโมแครตจากรัฐโคโลราโด ซึ่งเป็นกรรมาธิการอยู่ในคณะกรรมาธิการกำกับตรวจสอบงานข่าวกรองและกองทัพของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกปากวิพากษ์ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ของทรัมป์ว่า “สร้างความหายะให้แก่จุดยืนในโลกของอเมริกา และเป็นการถอยกรูดออกห่างจากบรรดากลุ่มพันธมิตรและบรรดาหุ้นส่วนทั้งหลายของเรา”
“โลกจะกลายเป็นสถานที่ซึ่งมีอันตรายมากขึ้น และชาวอเมริกันจะมีความปลอดภัยลดน้อยลง ถ้าหากมีการเดินหน้าตามแผนการนี้” โครว์ กล่าวสรุป
วิพากษ์ยุโรปอย่างเจ็บแสบ
สหรัฐฯเวลานี้กำลังหาทางเป็นคนกลางเพื่อยุติสงครามในยูเครนของรัสเซียที่ดำเนินมาเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้ว โดยที่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับล่าสุดนี้ก็ย้ำว่าการยุติศึกในยูเครนคือผลประโยชน์อันสำคัญยิ่งยวดของอเมริกา ทว่าเอกสารฉบับนี้ระบุอย่างชัดเจนด้วยว่า สหรัฐฯต้องการที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ซึ่งมีอยู่กับรัสเซียให้ดีขึ้น ภายหลังจากในหลายๆ ปีที่ผ่านมา มอสโกได้รับการปฏิบัติมาโดยตลอดในฐานะเป็นคนน่ารังเกียจของสังคมโลก นอกจากนั้นยังย้ำว่าการยุติสงครามในยูเครนถือเป็นผลประโยชน์แกนกลางประการหนึ่งของสหรัฐฯ เนื่องจากจะทำให้อเมริกาสามารถ“สถาปนาเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์กับรัสเซียได้อีกครั้งหนึ่ง”
เอกสารฉบับนี้ยังกล่าวหาพวกชาติยุโรปที่เป็นพันธมิตรของอเมริกามาอย่างยาวนาน ว่าไม่เพียงแค่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเองเท่านั้น แต่ยังประสบกับสิ่งที่วอชิงตันเวลานี้เห็นว่าเป็น วิกฤตร้ายแรงถึงขั้นกระทบกระเทือนการดำรงคงอยู่อีกด้วย
ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในยุโรป “ถูกบดบังจากลู่ทางความเป็นไปได้อย่างแท้จริงและชัดเจนยิ่งกว่า ในเรื่องที่อารยธรรมจะถูกลบทิ้ง” เอกสารทางยุทธศาสตร์ฉบับนี้ระบุ พร้อมกับแจกแจงว่า ยุโรปกำลังอ่อนเปลี้ยหมดแรงจากการใช้นโยบายยอมรับผู้อพยพ, อัตราการเกิดที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ, “การเซ็นเซอร์ไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี และการกดขี่ปราบปรามพลังฝ่ายค้านทางการเมือง” ตลอดจน “การสูญเสียอัตลักษณ์แห่งชาติและความเชื่อมั่นในตัวเอง”
“ถ้าแนวโน้มต่างๆ ในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไปแล้ว ทวีปนี้จะเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นจำกันไม่ได้ภายในระยะเวลา 20 ปีหรือน้อยกว่านั้นอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น มันจึงไม่มีความชัดเจนเอาเสียเลยว่าประเทศยุโรปบางประเทศจะยังคงมีระบบเศรษฐกิจและการทหารที่เข้มแข็งอย่างเพียงพอจนสามารถที่จะเป็นพันธมิตรซึ่งน่าเชื่อถือได้ต่อไป” ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯฉบับนี้กล่าว
เอกสารฉบับนี้ยังแสดงอาการเห็นชอบกับการก้าวผงาดขึ้นมาของพวกพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดในยุโรป ซึ่งเป็นพวกที่ประกาศอย่างเปิดเผยว่าคัดค้านโยบายการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ตลอดจนคัดค้านนโยบายต่อสู้ปัญหาโลกร้อน อันเป็นนโยบายที่คณะบริหารทรัมป์ก็ต่อต้านไม่เอาด้วยเช่นกัน
“อเมริกาสนับสนุนให้พวกพันธมิตรทางการเมืองของตนในยุโรปส่งเสริมจูงใจให้มีการฟื้นฟูจิตวิญญาณเช่นนี้ และอิทธิพลที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของพวกพรรคการเมืองรักชาติในยุโรปก็เป็นเรื่องที่ทำให้สามารถมองโลกแง่ดีได้อย่างมหาศาลจริงๆ” ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้บอก
เอกสารฉบับนี้ยังกล่าวประณามโดยมิได้ให้ตัวอย่างว่า “การบ่อนทำลายของพวกกระบวนการทางประชาธิปไตย” คือสิ่งที่ทำให้รัฐบาลยุโรปในบางประเทศ ไม่สนองตอบต่อความปรารถนาของประชาชนของพวกเขาซึ่งเวลานี้ต่างเรียกร้องต้องการสันติภาพ
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ฉบับนี้ ยังเน้นย้ำว่า สหรัฐฯมุ่งมั่นผลักดัน “ให้มีการยุติความรับรู้ความเข้าใจ ... ที่มองว่า องค์การนาโต้คือกลุ่มพันธมิตรที่กำลังขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ตลอดกาล” ไม่เพียงเท่านั้น เอกสารนี้ยังบ่งชี้ด้วยว่า สหรัฐนอาจจะเพิกถอนร่มป้องกันความมั่นคงที่ให้แก่ทวีปยุโรปมาอย่างยาวนานก็ได้
แทนที่จะรักษาร่มป้องกันดังกล่าวเอาไว้ต่อไปเรื่อยๆ วอชิงตันจะให้ความสำคัญมากกว่ากับ “การทำให้ยุโรปสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองได้ และปฏิบัติการในฐานะเป็นกลุ่มของชาติอธิปไตยที่ผูกพันเป็นพันธมิตรแนวเดียวกัน โดยครอบคลุมถึงการเข้าเป็นผู้รับผิดชอบหลักสำหรับการป้องกันตนเองของพวกตน และปราศจากการถูกครอบงำจากมหาอำนาจที่เป็นปรปักษ์ใดๆ”
เอกสารฉบับนี้ ถือว่าเป็นการรวบรวมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยุโรปบางประการก่อนหน้านี้ของคณะบริหารทรัมป์ให้เป็นระบบระเบียบ เป็นต้นว่า ในการกล่าวปราศรัยที่เวทีประชุมความมั่นคงในเมืองมิวนิก, เยอรมนี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ของสหรัฐฯ ได้บอกกับพวกผู้นำยุโรปว่า ภัยคุกคามใหญ่ที่สุดต่อความมั่นคงของพวกเขา “มาจากภายใน” ไม่ใช่มาจากจีนหรือรัสเซีย
“สิ่งที่ผมมีความวิตกกังวลคือภัยคุกคามจากภายใน การล่าถอยของยุโรปจากค่านิยมพื้นฐานที่สุดบางประการของพวกเขา” แวนซ์กล่าวเอาไว้เช่นนี้ในตอนนั้น
มุ่งมั่นที่จะครองอำนาจในทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้
ถึงแม้ทรัมป์ประกาศคำขวัญ “อเมริกาต้องเป็นอันดับแรก” แต่คณะบริหารของเขาก็กำลังเปิดการโจมตีทางทหารอย่างต่อเนื่องเป็นชุดใหญ่ในดินแดนที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา นั่นคือ การถล่มใส่พวกเรือที่วอชิงตันกล่าวหาว่าเป็นเรือลักลอบค้ายาเสพติดทั้งในแถบทะเลแคริบเบียนและทางฟากตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะเดียวกันยังกำลังชั่งน้ำหนักโดยมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือลุยปฏิบัติการทางทหารในเวเนซุเอลา เพื่อบีบคั้นประธานาธิบดีนิโคลาส มาดูโร ของประเทศนั้น
ในเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ พูดถึงความเคลื่อนไหวเหล่านี้ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า เป็น “ ‘บทแทรกของทรัมป์’ที่เพิ่มเติมให้แก่หลักการมอนโร” ("a 'Trump Corollary' to the Monroe Doctrine") เพื่อ “การฟื้นฟูฐานะความมีอำนาจเหนือกว่าใครๆ ของอเมริกันในซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere) ทั้งนี้ ซีกโลกตะวันตก เป็นคำเรียกขานทางภูมิศาสตร์การเมือง ซึ่งมุ่งหมายถึงทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ขณะที่หลักการมอนโร นั้นประกาศออกมาโดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร (James Monroe) ในปี 1823 จุดมุ่งหมายดั้งเดิมในเวลานั้นก็คือ การคัดค้านไม่ให้ชาติยุโรปใดๆ เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงในซีกโลกตะวันตก เข้ามายึดเอาดินแดนในทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคม เวลาเดียวกัน หลักการนี้ยังถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การที่สหรัฐฯจะเข้าแทรกแซงด้วยกำลังทหารในละตินอเมริกา
เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ระบุว่า สิ่งต่าง ๆที่สหรัฐฯกระทำในเวลานี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะต่อสู้ปราบปรามการค้าเสพติดและการควบคุมการอพยพเข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐฯยังกำลังมุ่งวางแผนกำหนดกรอบโครงการปรากฏตัวทางทหารของตนในภูมิภาคนี้เสียใหม่ ถึงแม้หลังจากที่สหรัฐฯได้มีการสร้างสมฐานะทางการทหารของตนอย่างใหญ่โตที่สุดขึ้นที่นั่นอยู่แล้วในหลายๆ ชั่วอายุคนที่ผ่านมาก็ตามที
ตัวอย่างของเรื่องนี้ มีอาทิเช่น “การจัดส่งกำลังทหารอย่างมีเป้าหมายชัดเจน (เข้าไปในละตินอเมริกา) เพื่อรักษาความมั่นคงของชายแดนสหรัฐฯ และยังความปราชัยให้แก่พวกแก๊งผูกขาดด้านอาชญากรรมต่างๆ ทั้งนี้โดยรวมไปถึง (การส่งกำลังทหารเข้าไปยัง) พวกสถานที่ซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังอาวุธสำหรับสังหาร (นโยบายดังกล่าวนี้จะนำมา)ใช้แทนที่ยุทธศาสตร์มุ่งบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวที่ใช้อยู่ตลอดช่วงหลายๆ สิบปีที่ผ่านมาโดยมีแต่ประสบความล้มเหลว” เอกสารฉบับนี้กล่าว
เวลาเดียวกัน “เราจะปฏิเสธไม่ยอมให้พวกคู่แข่งที่มิได้อยู่ในซีกโลกส่วนนี้ มีความสามารถที่จะจัดวางกำลังหรือจัดวางขีดความสามารถในการคุกคามอื่นๆ, หรือที่จะเป็นเจ้าของครอบครองหรือควบคุมในทางยุทธศาสตร์เหนือพวกทรัพย์สินสำคัญยิ่งยวดทั้งหมดในซีกโลกของเรานี้” ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์เน้นย้ำ
นอกจากนั้น เอกสารนี้ยังเรียกร้องให้ดำเนินการโยกย้ายพวกทรัพย์สินทางทหารต่างๆ ของสหรัฐฯเข้าสู่ซีกโลกตะวันตก โดย “นำออกมาจากบรรดายุทธบริเวณซึ่งความสำคัญโดยเปรียบเทียบต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกัน ได้ลดต่ำลงแล้วในช่วงไม่กี่สิบปีหลังๆ นี้”
การปรับเปลี่ยนไม่ถือตะวันออกกลางเป็นจุดเน้นหนักอีกต่อไป
จากการปรับเปลี่ยนหันเหทุ่มเทความสนใจมายังอเมริกาเหนือ-ใต้ สหรัฐฯก็จะแสวงหาแบบแผนวิธีการซึ่งแตกต่างออกไปจากเดิมในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ย้ำว่า ตะวันออกกลางไม่ได้เป็นภูมิภาคที่มีลำดับความสำคัญทางยุทธศาสตร์ระดับท็อปสำหรับสหรัฐฯอีกต่อไป ทั้งนี้ข้อพิจารณาในอดีตซึ่งเคยทำให้ภูมิภาคนี้ทรงความสำคัญขนาดนั้น อันได้แก่ การเป็นแหล่งผลิตพลังงาน และการเป็นภูมิภาคซึ่งมีความขัดแย้งอย่างกว้างขวาง เวลานี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
เอกสารนี้บอกว่า จากการที่สหรัฐฯกำลังเพิ่มการผลิตพลังงานด้วยตนเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ “เหตุผลทางประวัติศาสตร์ของอเมริกาสำหรับการมุ่งโฟกัสที่ตะวันออกกลางย่อมจะถดถอยลงไป” ขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ก็อ้างว่าความขัดแย้งและความรุนแรงในภูมิภาคนี้กำลังลดน้อยลงด้วย โดยอ้างถึงการหยุดยิงในกาซา และการที่สหรัฐฯถล่มโจมตีอิหร่านในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเอกสารนี้บอกว่า ได้ลดเกรดโครงการนิวเคลียร์ของเตะหรานให้ถดถอยลงมาอย่างสำคัญ
“ความขัดแย้งยังคงเป็นพลวัตที่สร้างความยุ่งยากมากที่สุดของตะวันออกกลาง ทว่าทุกวันนี้ปัญหานี้มีน้อยลงกว่าที่พวกพาดหัวข่าวอาจนำพาให้เราเชื่อกัน” เอกสารฉบับนี้บอก
คณะบริหารทรัมป์วาดภาพอนาคตที่สดใสสำหรับภูมิภาคนี้ โดยกล่าวว่าแทนที่จะเป็นตัวครอบงำความกังวลสนใจของวอชิงตัน ตะวันออกกลางกลับ“จะกลายเป็นแหล่งที่มาและจุดหมายปลายทางของการลงทุนระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” รวมทั้งในด้านปัญญาประดิษฐ์
ตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ สหรัฐฯควรที่จะละทิ้ง “การทดลองอย่างหลงทิศหลงทางของอเมริกาในการข่มเหงระราน” พวกชาติต่างๆ ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกราชอาณาจักรในแถบอ่าวอาหรับ ทั้งในเรื่องขนบธรรมประเพณีของพวกเขาและรูปแบบรัฐบาลของพวกเขา
ขณะที่ทรัมป์กำลังส่งเสริมสนับสนุนความผูกพันกับชาติต่างๆ ในภูมิภาคนี้ และมองพวกประเทศตะวันออกกลางว่ามีความพรักพร้อมแล้วสำหรับการกลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และพวกชาติอาหรับทั้งหลายกำลัง “ปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะที่เป็นสถานที่ของการผูกพันเป็นหุ้นส่วนกัน, มิตรภาพ, และการลงทุน” เอกสารฉบับนี้บอก
“เราควรที่จะกระตุ้นสนับสนุนและปรบมือชมเชยการปฏิรูป ในเวลาและสถานที่ซึ่งมันปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่พยายามที่จะบังคับให้มีการปฏิรูปเหล่านี้ขึ้นมา” เอกสารนี้ กล่าว
ในปีนี้ ทริปเดินทางไปเยือนต่างประเทศครั้งสำคัญครั้งแรกของเขาก็คือการไปยังตะวันออกกลาง รวมทั้งความพยายามของเขาในการหาทางยุติสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาสในกาซา ก็ได้รับการเน้นหนักถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ ยอมรับว่า อย่างไรเสีย สหรัฐฯยังคงมีผลประโยชน์สำคัญๆ ในตะวันออกกลาง ซึ่งก็รวมถึงการทำให้เกิดความมั่นใจ “ว่าอิสราเอลยังคงมีความมั่นคงปลอดภัย” ตลอดจนการพิทักษ์ปกป้องพวกซัปพลายด้านพลังงานและเส้นทางการเดินเรือทั้งหลาย
“ทว่าวันเวลาที่ตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่ครอบงำนโยบายการต่างประเทศอเมริกันทั้งในการวางแผนระยะยาวและในการดำเนินปฏิบัติการวันต่อวันนั้น ต้องขอบคุณที่มันกำลังสิ้นสุดลงแล้ว –ไม่ใช่เพราะว่าตะวันออกกลางมิได้มีความสำคัญอีกต่อไป แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ได้มีความระคายเคืองอันทรงตัว ตลอดจนมีแหล่งซึ่งอาจก่อให้เกิดความวิบัติหายนะในเร็ววัน อย่างที่มันเคยเป็นอยู่ในอดีตอีกต่อไปแล้ว” เอกสารนี้ระบุ
“การสร้างสมดุลใหม่” ในความสัมพันธ์ที่สหรัฐฯมีกับจีน
ในเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ 2 ฉบับท้ายสุดก่อนหน้านี้ ซึ่งก็รวมถึงฉบับที่เผยแพร่ในสมัยแรกที่ทรัมป์ครองทำเนียบขาวด้วย ได้พูดถึงการแข่งขันกับจีนว่า มีความสำคัญลำดับสูงสุดสำหรับสหรัฐฯ
ทว่าในเอกสารฉบับล่าสุดนี้ การแข่งขันเป็นปรปักษ์กับปักกิ่งไม่ได้ถูกจัดหยิบยกให้ความสำคัญระดับแถวหน้าตลอดจนถือเป็นแกนกลางอีกต่อไปแล้ว
กระนั้น เอกสารนี้ก็ยังคงไฮไลต์ความจำเป็นที่จะต้องเอาชนะการแข่งขันทางเศรษฐกิจในเอเชีย และการสร้างสมดุลใหม่ทางการค้ากับจีน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ของทรัมป์ได้เน้นย้ำความจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกับพวกชาติพันธมิตรเอเชีย ในการคานอำนาจกับปักกิ่ง โดยที่ได้ระบุเจาะจงถึงอินเดีย
“เราต้องดำเนินการปรับปรุงยกระดับความสัมพันธ์ทางการพาณิชย์ (และอื่นๆ) กับอินเดียต่อไป เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้นิวเดลีเข้าร่วมส่วนในความมั่นคงของอินโด-แปซิฟิก” เอกสารฉบับนี้ บอก
ยุทธศาสตร์ของคณะบริหารทรัมป์ที่จะนำมาใช้กับจีน อยู่ในลักษณะดำเนินการใน 2 แนวทางควบคู่กัน นั่นคือการผลักดันให้มีการปิดล้อมกีดกันอิทธิพลในทั่วโลกของปักกิ่ง เวลาเดียวกันนั้นก็ยังคงรักษาสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและธำรงรักษาเงื่อนไขต่างๆ ในปัจจุบันในเรื่องไต้หวันเอาไว้
คณะบริหารทรัมป์ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามชิงไต้หวัน เกาะปกครองตนเองซึ่งปักกิ่งอ้างว่าเป็นของตน และสหรัฐฯก็มีข้อผูกมัดจากกฎหมายของสหรัฐฯเองที่จะต้องให้ความสนับสนุนทางทหารแก่ไต้หวัน ทั้งนี้ เอกสารฉบับนี้บอกว่าสหรัฐฯจะกระทำเช่นนี้ได้ ก็ด้วยการรักษาความได้เปรียบทางทหารที่มีเหนือจีน
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯต้องการให้พวกพันธมิตรของตนในภูมิภาคนี้ทำอะไรให้มากขึ้นด้วย ทั้งในการผลักไสเอาคืนเพื่อต่อต้านแรงบีบคั้นจากจีน และในการลงขันให้มากขึ้นในด้านการทหารของพวกเขา
“กองทัพอเมริกันไม่สามารถ และก็ไม่ควรที่จะต้อง กระทำเรื่องนี้เพียงลำพังฝ่ายเดียว” ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาตินี้ระบุ “พวกพันธมิตรของเราจะต้องยกระดับและจะต้องใช้จ่าย –กระทำให้มากขึ้นกว่านี้อย่างสำคัญ—ให้มากมายยิ่งกว่านี้มาในเรื่องการป้องกันร่วมกัน”
ในอีกด้านหนึ่ง เอกสารนี้ก็เรียกร้องให้ “รักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ให้ผลประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง”กับจีนเอาไว้ ด้วยการให้ความสำคัญลำดับต้นๆ แก่ “เรื่องการต่างตอบแทนและความเป็นธรรม” รวมทั้งลดทอนการที่สหรัฐฯต้องพึ่งพาอาศัยจีน ทั้งนี้ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ระบุว่า การรีเซตเรื่องนี้เสียใหม่ในลักษณะดังที่ว่ามานี้ คือกุญแจสำคัญสำหรับการประคับประคองอัตราการเติบโตของสหรัฐฯเอง ให้ก้าวจาก “การเป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 เป็น 40 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษ 2030”
(นอกจากรายงานของเอพีแล้ว ผู้แปลยังได้เพิ่มเติมด้วยข้อมูลจากรายงานข่าวเรื่อง Trump national security strategy calls for ‘cultivating resistance’ in Europe and changing US’ role in Western Hemisphere By Alejandra Jaramillo ของ ซีเอ็นเอ็น https://edition.cnn.com/2025/12/05/politics/trump-national-security-strategy และเรื่อง
Five key takeaways from Trump’s National Security Strategy By Ali Harb ของ อัล จาซีรา https://www.aljazeera.com/news/2025/12/5/five-key-takeaways-from-trumps-national-security)


