xs
xsm
sm
md
lg

เผย‘แผนสันติภาพยูเครนของทรัมป์’ดูสับสนไม่แน่ไม่นอน เพราะ‘รองปธน.แวนซ์’กับ‘รมว.ต่างปท.รูบิโอ’แตกแยกกัน ต่างมุ่งสร้างผลงานหวังขึ้นเป็นประมุขสหรัฐฯสมัยหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เอ็นบีซีนิวส์


(ภาพจากแฟ้ม) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำลังพูด โดยที่มีรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ นั่งขนาบอยู่ทางซ้าย และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ อยู่ทางขวา ณ ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2025
(เก็บความจากเว็บไซต์เอ็นบีซีนิวส์ https://www.nbcnews.com/politics/white-house/us-army-secretary-warned-ukraine-imminent-defeat-pushing-initial-peace-rcna245704)

U.S. Army secretary warned Ukraine of imminent defeat while pushing initial peace plan
By Dan De Luce, Courtney Kube and Abigail Williams; NBC NEWS
26/11/2025

การพบปะหารือระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯนำโดย แดน ดริสคอลล์ รัฐมนตรีทบวงทหารบก ผู้เป็นเพื่อนสนิทของรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ กับฝ่ายยูเครนที่กรุงเคียฟ เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของความแตกแยกที่เกิดขึ้นมานานภายในคณะบริหารทรัมป์ ในเรื่องวิธีการยุติสงครามในยูเครน

ในการพบปะหารือกับพวกเจ้าหน้าที่ยูเครนในกรุงเคียฟเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แดน ดริสคอลล์ (Dan Driscoll) รัฐมนตรีทบวงทหารบกของสหรัฐฯ (U.S. Army Secretary) ได้ให้คำประเมินสถานการณ์ของยูเครนอย่างเลวร้ายย่ำแย่มาก

ดริสคอลล์ บอกกับพวกที่มาประชุมหารือกับเขาว่า กองทหารของพวกเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบากยิ่งในสมรภูมิ และจะต้องปราชัยอย่างแน่นอนในอีกไม่ช้าไม่นานนี้ในการสู้รบกับกองกำลังฝ่ายรัสเซีย แหล่งข่าว 2 รายที่ทราบเรื่องนี้ดีเล่าให้ เอ็นบีซีนิวส์ (ฝ่ายข่าวของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีในสหรัฐฯ) ฟัง

รัสเซียยังกำลังเพิ่มระดับทั้งขนาดขอบเขตและฝีก้าวในการโจมตีทางอากาศของพวกเขา รวมทั้งพวกเขายังมีความสามารถในการสู้รบได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ดริสคอลล์ สำทับกับพวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเช่นนี้ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าว 2 รายดังกล่าว สถานการณ์สำหรับยูเครนจึงมีแต่จะต้องเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเวลาผ่านไป เขากล่าวต่อ และดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเจรจาเพื่อทำความตกลงเรื่องสันติภาพเสียตั้งแต่ตอนนี้ แทนที่จะปล่อยให้ไปถึงจุดจบที่จะต้องอยู่ในสภาพซึ่งอ่อนแอยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคตข้างหน้า

แล้วไม่ใช่เพียงแค่มาแจ้งข่าวเลวร้ายเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการสู้รบเท่านั้น คณะผู้แทนสหรัฐฯชุดนี้ยังกล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมกลาโหมของอเมริกาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะประคับประคองการจัดหาจัดส่งพวกอาวุธและการป้องกันภัยทางอากาศต่างๆ ให้แก่ยูเครน ในอัตราที่จำเป็นสำหรับพิทักษ์ปกป้องโครงสร้างพื้นฐานและประชากรของยูเครนเอาไว้ได้ แหล่งข่าวเหล่านี้เล่าต่อ

ข้อความเหล่านี้ของ ดริสคอลล์ ถูกพูดออกมาหลังจากที่เขาได้เสนอแผนการสันติภาพซึ่งหนุนหลังโดยสหรัฐฯฉบับหนึ่ง ที่พวกเจ้าหน้าที่ของเคียฟพากันมองว่ามันคือการบอกให้ยูเครนยอมสยบต่อรัสเซีย ทั้งนี้ตามคำกล่าวของแหล่งข่าว 2 รายดังกล่าว

“ข้อความนี้โดยพื้นฐานเลยก็คือบอกว่า –พวกคุณกำลังพ่ายแพ้แล้ว” 1 ในแหล่งข่าว 2 รายนี้กล่าว “และพวกคุณจำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงนี้”

การพบปะหารือระหว่าง ดริสคอลล์ กับทางฝ่ายยูเครนครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามโดยเจ้าหน้าที่บางรายของคณะบริหารทรัมป์ที่จะกดดันฝ่ายยูเครนให้ยอมรับข้อเสนอสันติภาพซึ่งหนุนหลังโดยสหรัฐฯฉบับใหม่ดังกล่าวโดยไม่มีการรีรอ ถึงแม้มันจะเป็นข้อเสนอที่เก็บรับเอาข้อเรียกร้องระดับสูงสุดของฝ่ายรัสเซียไว้อย่างเต็มพิกัด รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเคียฟต้องยินยอมอ่อนข้ออันเจ็บปวดต่างๆ พวกเจ้าหน้าที่ของฝ่ายตะวันตกทั้งในอดีตและปัจจุบันหลายต่อหลายรายกล่าว

ยูเครนได้ปฏิเสธอย่างสุภาพไม่ยอมลงนามในแผนการสันติภาพฉบับนี้ในสภาพที่มันถูกเสนอออกมา และต่อมาข้อเสนอนี้ก็ได้ถูกทบทวนแก้ไขอย่างมากมายนับตั้งแต่การหารือระหว่าง ดริสคอลล์ กับ พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนคราวนี้ในตอนกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

การพบปะหารือคราวนี้ เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของความแตกร้าวภายในคณะบริหารทรัมป์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ในเรื่องวิธีการยุติสงครามในยูเครน การแตกแยกเช่นนี้ยังมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นการแข่งขันชิงชัยกันทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น ระหว่าง 2 อดีตวุฒิสมาชิกซึ่งเป็นไปได้ว่าต่างกำลังวาดวางที่จะได้เข้าครอบครองตำแหน่งประธานาธิบดีเสียเองในการเลือกตั้งปี 2028 ซึ่งก็คือ รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ

ทางค่ายหนึ่ง ที่ประกอบด้วย แวนซ์, ผู้แทนพิเศษสหรัฐฯ สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) และเจ้าหน้าที่อีกหลายๆ คน มองยูเครนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการไปสู่สันติภาพ และชื่นชอบวิธีการอาศัยฐานะเหนือกว่าของสหรัฐฯมาบังคับเคียฟให้ต้องยอมอ่อนข้อประนีประนอมเรื่องสำคัญต่างๆ ทั้งนี้ตามคำกล่าวของพวกเจ้าหน้าที่ทั้งในปัจจุบันและในอดีตหลายราย

อีกค่ายหนึ่ง ซึ่งมี รูบิโอ และเจ้าหน้าที่อีกหลายคนเป็นตัวแทน มองรัสเซียว่าเป็นตัวการใหญ่ที่กำลังเปิดฉากทำการรุกรานเพื่อนบ้านของตนโดยไม่ได้ถูกยั่วยุ และเสนอความคิดเห็นว่ามอสโกจะยินยอมอ่อนข้อลงก็มีแต่เมื่อพวกเขาต้องจ่ายราคาแพงลิบสำหรับการก้าวร้าวรุกรานของพวกเขาโดยผ่านการถูกแซงก์ชั่นคว่ำบาตรและเจอกับแรงบีบคั้นอื่นๆ

จากการที่พวกผู้ช่วยของเขาในทั้งสองค่ายกำลังพยายามช่วงชิงความสนใจของเขา โดยที่ยังมีพวกสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและเหล่าผู้นำของยุโรปร่วมวงด้วย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงอยู่ในอาการหันเหเปลี่ยนทิศทางไปมา ในเรื่องวิธีการแก้ไขคลี่คลายการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้

“เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาสักพักหนึ่งแล้วว่ามีความแตกแยกเกิดขึ้นมา ทว่าเรายังไม่เคยพบเห็นความแตกแยกนี้แสดงตัวออกมาในรูปของการกระทำต่อหน้าสาธารณชน ในวิถีทางที่เราได้พบเห็นกันในช่วงไม่กี่วันมานี้เลย” เป้นคำกล่าวของอดีตนักการทูตอาวุโสของสหรัฐฯรายหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์การทำงานในยุโรปตะวันออก

เมื่อ เอ็นบีซีนิวส์ ติดต่อขอให้แสดงความคิดเห็นเมื่อวันอังคาร (25 พ.ย.) ทำเนียบขาวก็อ้างอิงถึงโพสต์ทางโซเชียลมีเดียชิ้นหนึ่งของประธานาธิบดี ซึ่งในนั้น ทรัมป์ กล่าวว่า แผนการสันติภาพฉบับดั้งเดิมได้ถูก “ปรับปรุงให้มีความชัดเจนเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยอาศัยอินพุตเพิ่มเติมจากทั้งสองฝ่าย และเวลานี้มีเพียงไม่กี่จุดเท่านั้นหลงเหลืออยู่ซึ่งยังไม่เห็นพ้องต้องกัน”

“ผมตั้งตาคอยด้วยความคาดหวังที่จะได้พบปะกับทั้งประธานาธิบดีเซเลนสกี และประธานาธิบดีปูติน ในเร็วๆ นี้ แต่ทว่ามันจะเกิดขึ้นได้ก็ ต่ อ เ มื่ อ ข้อตกลงเพื่อยุติสงครามคราวนี้ เ ส ร็ จ สิ้ น แ ล้ ว หรือว่าอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว” ทรัมป์กล่าวต่อในโพสต์ดังกล่าว

ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯรายหนึ่ง แถลงว่า “ทีมงานทั้งหมดของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งรวมทั้งรัฐมนตรีรูบิโอ, ผู้แทนพิเศษวิตคอฟฟ์, รัฐมนตรีทบวงดริสคอลล์, และคนอื่นๆ มากมาย ต่างกำลังทำงานกันด้วยจังหวะจะโคนที่ประสานกัน เนื่องจากพวกเขาได้ทำงานกันมา 10 เดือนแล้ว เพื่อนำเอาสงครามที่ไร้สติและสร้างความสูญเสียคราวนี้เข้าสู่จุดยุติ”

สำหรับสถานเอกอัครราชทูตยูเครนในกรุงวอชิงตัน ไม่ได้ตอบอะไรเมื่อเอ็นบีซีนิวส์ติดต่อขอให้แสดงความเห็น

ความข้องใจสงสัยอย่างรุนแรงสาหัส

มีความเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างเร่งรีบวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายหลังสิ่งที่ระบุกันว่าเป็นแผนการสันติภาพ 28 ข้อของสหรัฐฯได้รั่วไหลออกไปถึงสื่อมวลชน

แผนการดังกล่าวนี้เป็นผลผลิตของการเจรจาหารือกันในเมืองไมอามี, รัฐฟลอริดา ระหว่าง คีริลล์ ดมิเตรียฟ (Kirill Dmitriev) ผู้แทนของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าว 2 รายที่มีความรู้ในเรื่องการพบปะคราวนี้กับ เอ็นบีซีนิวส์

ขณะที่ เดอะเทเลกราฟ สื่ออังกฤษ อ้างอิง วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า การหารือระหว่าง วิตคอฟฟ์ กับ ดมิเตรียฟ ดำเนินอยู่ 3 วันท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งเครียดจริงจัง โดยบางครั้งก็มีการพูดจากันภายในบ้านพักของวิตคอฟฟ์ด้วย รวมทั้งยังมี จาเร็ด คุชเนอร์ (Jared Kushner) บุตรเขยของทรัมป์เข้าร่วมด้วย จนในที่สุด จึงออกมาเป็นข้อเสนอ 28 ข้อดังกล่าว

พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบอกกับบรรดาผู้สื่อข่าวว่า ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอของฝ่ายอเมริกัน ถึงแม้เอกสารนี้จะบรรจุเอาไว้ด้วยข้อเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกของฝ่ายรัสเซียที่จะบังคับให้ยูเครนสละดินแดนกระทั่งส่วนที่พวกเขายังควบคุมอยู่, ลดทอนขนาดของกองทัพ, และยกเลิกแผนการที่จะเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกพันธมิตรนาโต้ไปตลอดกาล ส่วนประกอบบางประการของแผนการนี้ยังขัดแย้งเป็นตรงกันข้ามกับจุดยืนที่มีการแถลงออกมาก่อนหน้านี้ของคณะบริหารทรัมป์ โดยรวมถึงถ้อยคำภาษาซึ่งบ่งบอกอย่างอ้อมๆ ว่ากองทหารสหรัฐฯจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในโปแลนด์

รายงานของเดอะเทเลกราฟ บอกว่า รัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่างข้อเสนอ 28 ข้อนี้เลย และตัวเขาเองเพิ่งถูกนำเข้าไปร่วมวงด้วยในช่วงหลังๆ โดยที่เขาเพิ่งได้รับสำเนาของแผนการนี้ ระหว่างที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (Prince Mohammed bin Salman) มกุฎราชกุมารของซาอุดีอาระเบียเสด็จเยือนทำเนียบขาวในวันที่ 18 พ.ย. หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง การมีอยู่ของแผนการนี้ก็ได้รับการรายงานเป็นครั้งแรกทาง แอคซิออส (Axios) สื่อออนไลน์ชื่อดังในสหรัฐฯ

พวกวุฒิสมาชิกทั้งจากรีพับลิกันและจากเดโมแครตหลายราย ออกมาแถลงในวันที่ 22 พ.ย. ว่า รูบิโอได้บอกกับพวกเขาพวกเขาว่า แผนการนี้ร่างขึ้นโดยฝ่ายรัสเซีย ทว่าในคืนวันเดียวกันนั้น รูบิโอ บอกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดออกมานั้นผิดพลาดแล้ว และทั้งตัวเขาตลอดจนทำเนียบขาวต่างยืนกรานในเวลาต่อมาว่า นี่คือข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่นำเอา “อินพุต” จากฝ่ายรัสเซียและฝ่ายยูเครนมาใส่ไว้

ความเคลื่อนไหวที่เห็นกันว่าผิดปกติอีกประการหนึ่ง ได้แก่การที่ทำเนียบขาวเลือก ดริสคอลล์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีทบวงทหารบก (Army secretary) เป็นผู้เดินทางไปกรุงเคียฟเพื่อบรรยายสรุปข้อเสนอนี้ให้ฝ่ายยูเครนรับทราบ แทนที่จะเป็นนักการทูตอาวุโสสักรายหนึ่ง ดริสคอลล์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล ของแวนซ์ เดินทางไปยูเครนโดยตามกำหนดการในตอนแรกระบุว่า เขาจะไปหารือกับฝ่ายยูเครนเกี่ยวกับเทคโนโลยีการใช้โดรน โดยที่ เอ็นบีซีนิวส์ ก็ได้รายงานข่าวเอาไว้เช่นนี้ก่อนหน้านั้น
(หมายเหตุผู้แปล – ตำแหน่งรัฐมนตรีทบวงทหารบก เป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนอาวุโสภายในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กำลังพล, บุคลากร, กิจการกองกำลังสำรอง, สิ่งอำนวยความสะดวก, ประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม, ระบบอาวุธ และการจัดหาอุปกรณ์, การสื่อสาร, และการบริหารจัดการทางการเงิน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนี้ และต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบของวุฒิสภา ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/United_States_Secretary_of_the_Army)

ด้วยความรู้สึกตกใจกับเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุอยู่ในข้อเสนอสันติภาพฉบับนี้ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้แสดงความสงสัยข้องใจอย่างรุนแรงสาหัส แต่ก็หยุดยั้งไม่ถึงกับแสดงการประท้วงคัดค้านแผนการนี้ โดยกล่าวว่ารัฐบาลของเขาพร้อมที่จะจัดการเจรจาหารือทางการทูต

ขณะที่ รูบิโอ ใช้ถ้อยคำภาษาแบบระมัดระวังมาพูดถึงแผนการนี้ภายหลังจากมันรั่วไหลออกมาแล้ว โดยโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า สันติภาพเป็นสิ่งที่จะต้อง “เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นชอบในการอ่อนข้ออันยากลำบากแต่มีความจำเป็น” และกล่าวอีกว่า สหรัฐฯจะ “ยังคงพัฒนารายการไอเดียต่างๆ ที่เป็นไปได้สำหรับการยุติสงครามครั้งนี้”

เวลาเดียวกัน ทรัมป์ ได้เพิ่มทวีแรงบีบคั้นต่อยูเครน ด้วยการบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า ทางเลือกของ เซเลนสกี คือ การยอมรับข้อตกลงสันติภาพ หรือไม่ก็ “ใช้ความพยายามต่อสู้ต่อไป ถึงแม้มีโอกาสจำกัดจำเขี่ยเต็มทีที่จะประสบความสำเร็จ”

รูบิโอได้บินไปยังเจนีวาในช่วงสุดสัปดาห์ 23-24 พ.ย. และหลังจากพูดจาหารือกับฝ่ายยูเครน ตลอดจนรับฟังคำอุทธรณ์จากพวกนักการทูตยุโรปแล้ว พวกข้อความซึ่งเป็นปัญหาที่สุดสำหรับยูเครนก็ถูกยกออกไปหรือได้รับการแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ ทั้งนี้ตามการเปิดเผยของพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายตะวันตกและแหล่งข่าวซึ่งทราบเรื่องนี้ดีหลายๆ ราย

แทนที่จะยังคงน้ำเสียงแบบ “รับไปหรือไม่ก็ไปเสีย” ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเคยใช้ในเวลาพูดเรื่องแผนสันติภาพนี้กับทางการเคียฟก่อนหน้านี้ รูบิโอได้กล่าวระหว่างแถลงข่าวโดยวาดภาพการหารือคราวนี้เป็นมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างลื่นไหล และแผนการก็กำลังมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “นี่คือเอกสารที่มีชีวิตที่มีลมหายใจ ทุกๆ วันมันเปลี่ยนแปลงไปด้วยอินพุตที่เข้ามา” เขาบอกกับพวกผู้สื่อข่าวในเจนีวาเมื่อวันอาทิตย์ (23 พ.ย.)

ครั้นถึงวันอังคาร (25 พ.ย.) ฝ่ายยูเครนก็ได้พูดจามีท่าทีในทางบวก โดยแสดงอาการมองโลกแง่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเจรจาหารือกัน ซึ่งในเวลานี้กลายเป็นแผนการ 19 ข้อ

“คณะผู้แทนของเราได้บรรลุความเข้าใจร่วมกัน เกี่ยวกับเงื่อนไขแกนกลางสำคัญที่สุดต่างๆ ของข้อตกลงที่ได้มีการหารือกันในเจนีวา” รุสเตม อูเมรอฟ (Rustem Umerov) เลขาธิการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและกลาโหมของยูเครน (Ukraine’s national security and defense council) เขียนเอาไว้เช่นนี้บนโซเชียลมีเดีย นอกจากนั้นเขายังบอกอีกว่ามีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตันของ เซเลนสกี เพื่อปิดดีลเรื่องนี้

สำหรับ ดริสคอลล์ พวกเจ้าหน้าที่หลายรายบอกว่า เขาได้เดินทางจากเจนีวาไปยังกรุงอาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่นั่นเขาได้เจรจากับคณะผู้แทนของรัสเซียในวันจันทร์ (24 พ.ย.) และวันอังคาร (25 พ.ย.)

จากการที่แผนสันติภาพได้ถูกปรับปรุงแก้ไขให้ผิดไปจากรูปลักษณ์ดั้งเดิมของมัน มันจึงกลับมามความคล้ายคลึงกับพวกข้อเสนอฉบับก่อนๆ ซึ่งรัสเซียได้เคยปฏิเสธไปหมดแล้ว

เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ผู้ซึ่งได้เคยออกมา “แสดงความยินดีต้อนรับ” ร่างดั้งเดิมร่างแรกในสัปดาห์ก่อน กล่าวเสนอแนะในวันอังคาร (25 พ.ย.) ว่า ทำเนียบเครมลินน่าจะไม่เอาด้วยกับสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเจรจาในตอนนี้ ลาฟรอฟ ยังได้อ้างอิงถึงการเจรจาหารือเมื่อเดือนสิงหาคมระหว่าง ทรัมป์ กับ ปูติน ในการประชุมซัมมิตที่เมืองแองเคอเรจ (Anchorage) รัฐอะแลสกา และบอกว่า ร่างข้อเสนอล่าสุดดูเหมือนมีความขัดแย้งกับความเข้าใจที่ได้ตกลงกันในการพูดจากันในครั้งนั้น

“กลุ่มพลังบางกลุ่มต้องการสร้างอันตรายให้แก่ความพยายามต่างๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ และต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงแผนสันติภาพ” ลาฟรอฟ กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “ถ้าหาก “จิตวิญญาณ” แห่งการเจรจาตกลงกันที่แองเคอเรจ ถูกกวาดทิ้งออกไปจากแผนการนี้แล้ว มันก็จะกลายเป็นเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง”

เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในความพยายามทางการทูตของสหรัฐฯคราวก่อนๆ ฝ่ายหนึ่งในคณะบริหารทรัมป์ได้พยายามที่จะผลักดันสนับสนุนข้อเสนอซึ่งเอนเอียงนิยมชมชื่นรัสเซีย แล้วถูกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ตอบโต้ดันกลับให้ถอยหลังไป โดยที่ได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลต่างๆ ของยุโรปและพวกสมาชิกอาวุโสของพรรครีพับลิกันในรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าทั้งจากพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายตะวันตก, พวกอดีตนักการทูตสหรับฯ, และบรรดาผู้เชี่ยวชาญ

อย่างไรก็ดี “ถ้าหากความแตกแยกนี้ยังดำเนินต่อไปแล้ว มันก็จะมีความลำบากมากที่จะดำเนินนโยบายซึ่งมีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน” เป็นความเห็นของ วิลเลียม เทย์เลอร์ (William Taylor) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำยูเครน ซึ่งเวลานี้เป็นนักวิจัยอยู่ที่หน่วยงานคลังสมอง แอนแลนติก เคาน์ซิล (Atlantic Council)

(ผู้แปลได้เก็บความข้อมูลบางส่วนจากรายงานข่าวเรื่อง Battle for Ukraine splits Trump’s top team ใน เดอะ เทเลกราฟ ซึ่งเผยแพร่ทางออนไลน์ในวันที่ 25 พ.ย. 2025 เพิ่มเติมเข้าไปในรายงานฉบับภาษาไทยนี้ด้วย)
กำลังโหลดความคิดเห็น