อธิบายความต่างเทคโนโลยีทหาร vs พลเรือน ทั้งเกราะกันกระสุนสเปคสูง โดรนตรวจการณ์ หรือแม้แต่โน้ตบุ๊คสำหรับคำนวณวิถีกระสุน ซึ่งเป็นกระแสถกเถียงในสังคมออนไลน์ หลังจากที่ "กัน จอมพลัง" ดาราและนักธุรกิจชื่อดัง ออกมาเปิดเผยเรื่องการบริจาคอุปกรณ์ให้กองทัพไทย ในช่วงวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา
จากข้อมูลล่าสุดของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่เชิญ "กัน จอมพลัง" ชี้แจงเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมพบว่ากองทัพบกยืนยันว่าไม่มีนโยบายรับบริจาคยุทธภัณฑ์หลัก เนื่องจากงบประมาณกลาโหมปีละกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ยอมรับว่าหน่วยชายแดนบางแห่งเคย "ขอความช่วยเหลือ" ในยามวิกฤต อย่างไรก็ตาม โฆษกกองทัพอย่าง พล.ต.วินธัย สุวารี ชี้แจงว่าอุปกรณ์พลเรือนที่บริจาคมัก "เกินสเปค" หรือ "ไม่ตรงตาม protocol" ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยง เพราะเทคโนโลยีทหารและพลเรือนนั้นมีความแตกต่างตั้งแต่พื้นฐานในด้านความทนทาน ความปลอดภัย และการออกแบบ
มีการยกตัวอย่างโดรน DJI Matrice ราคา 2 แสนบาทที่ถูก jamming (รบกวนสัญญาณ) ได้ง่ายจากศัตรู ขณะที่เกราะกันกระสุน Level IV ที่กันกระสุน .30-06 ได้ที่ความเร็ว 878 m/s อาจหนักและแพงเกินความจำเป็นสำหรับทหารไทยที่ใช้อุปกรณ์ Level III มาตรฐาน
***เกราะกันกระสุนในสนามรบ vs. ป้องกันตัวทั่วไป
หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนคือเกราะกันกระสุนที่ กัน จอมพลัง อ้างว่าทหารขอรับบริจาค โดยปกติแล้ว เกราะเวอร์ชันทหารต้องผ่านมาตรฐาน NIJ (National Institute of Justice) ของสหรัฐฯ ในระดับสูงสุด เช่น Level IV ที่ทนกระสุนเจาะเกราะ (armor-piercing) ได้จากระยะไกล และออกแบบให้ทนสภาพอากาศสุดขีด เช่น ความร้อน 50 องศาเซลเซียสหรือฝุ่นละอองในทะเลทราย ขณะที่เกราะพลเรือนส่วนใหญ่อยู่ในระดับ IIA-III ซึ่งกันกระสุนปืนพกหรือปืนลูกซองได้ แต่ไม่ทนต่อกระสุนไรเฟิลความเร็วสูง และมักใช้วัสดุเบากว่าแต่เสี่ยงแตกหักง่ายกว่า
เทคโนโลยีทหารยังต้องเน้นความทนทานต่อการใช้งานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยต้องมีชั้นป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล เช่น RFID tracking ซึ่งพลเรือนไม่มี โดยในปีนี้ กองทัพบกสหรัฐฯ ได้ทดสอบเกราะน้ำหนักเบาซึ่งให้การป้องกันกระสุนเท่าเดิมแต่เบาลงกว่า 20-30% ด้วยวัสดุโพลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง ที่ปรับปรุงโครงสร้างโมเลกุลให้ทนต่อการกระแทกซ้ำๆ ทำให้ทหารเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้นในสนามรบสมัยใหม่
เกราะรุ่นใหม่ทางทหารอาจแพร่หลายสู่ตลาดพลเรือนในด้านอุปกรณ์กีฬาและป้องกันภัยพิบัติ โดยการเปลี่ยนจากทหารสู่พลเรือนจะต้องปรับ spec ให้ต่ำลงเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสบายในการสวมใส่ แต่สำหรับทหาร ต้องผ่านการทดสอบ MIL-STD-810G หรือมาตรฐานสภาพแวดล้อมสุดขีด ซึ่งพลเรือนไม่มี โดยอีกตัวอย่างจากจีน คือชุดเกราะทหาร Type 21 ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ทนการระเบิดได้ดีกว่าเกราะพลเรือน 5 เท่า แต่ราคาสูงถึง 1 แสนหยวนต่อชุด
***โดรนกัน AI กวนสัญญาณ vs. ถ่ายภาพทั่วไป
โดรนเป็นอีกอุปกรณ์ที่ถูกถกเถียงอย่างมาก เพราะโดรนทหารและโดรนพลเรือนนั้นมีเทคโนโลยีที่ต่างกัน และโดรนชายแดน จะต้องเน้นการลงทุนด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ cybersecurity เพื่อป้องกันการแฮกจากทุกทิศทาง
ตัวอย่างเช่นโดรนทหารอย่าง MQ-9 Reaper ของสหรัฐฯ มีระบบพรางตัวจากเรดาร์ได้ พร้อมกับมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับกำหนดเป้าหมาย targeting อัตโนมัติ และการเชื่อมต่อแบบล้อคเข้ารหัส encrypted ที่ต้านการ jamming จากศัตรูได้ ขณะที่โดรนพลเรือนอย่าง DJI Mavic เน้นกล้อง 4K สำหรับถ่ายภาพ และสัญญาณรีโมทคอนโทรลถูกบล็อกได้ง่ายด้วยเครื่องรบกวนราคาถูก ทำให้ในสนามรบจริง โดรน DJI อาจกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมย้อนกลับ" ให้ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบ
โดรนทหาร จำเป็นต้องบินได้ต่อเนื่องหรือ flight time ยาวนานหลายชั่วโมง และเชื่อมกับระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, Reconnaissance) ซึ่งพลเรือนอาจทำไม่ได้ครบ โดยปัจจุบัน กองทัพบกสหรัฐฯ กำลังทดสอบโดรนใหม่ที่ยิงจากพื้นได้ รองรับภารกิจตรวจการณ์ ลาดตระเวน และโจมตีจุดเป้าหมายด้วย AI targeting แบบทันที real-time โดยบินได้นานกว่า 4 ชั่วโมงและต้าน jamming ได้ดีกว่าโดรนพลเรือน
ที่น่าสนใจคือข้อมูลจาก NATO ในรายงาน "Science & Technology Trends 2020-2040" ชี้ว่าอีกทศวรรษข้างหน้า โดรนทหารจะใช้เทคโนโลยีฝูงบินอัจฉริยะ ที่ประสานงานกันเองโดยไม่ต้องมนุษย์ควบคุม ต่างจากโดรนพลเรือนที่ยังพึ่ง GPS ธรรมดาและเสี่ยงหลงทางในพื้นที่ขัดขวางสัญญาณ
แต่ทั้งหมดทั้งปวง การบริจาคโดรนพลเรือนอาจช่วยทหารชายแดนได้หากปรับแต่งให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่นในยูเครน สงครามกับรัสเซียแสดงให้เห็นว่าโดรนพลเรือนอย่าง Bayraktar TB2 ที่ปรับแต่งระบบป้องกันการรบกวนสัญญาณ anti-jamming ก่อนใช้งานจริง นั้นสามารถนำมาใช้งานในสมรภูมิได้ดี โดยไม่ต้องใช้งบประมาณสูงลิ่ว
***โน้ตบุ๊ค+ซอฟต์แวร์ลับคำนวณวิถีกระสุน
สำหรับโน้ตบุ๊คคำนวณวิถีกระสุน ความเสี่ยงด้าน cybersecurity อาจเกิดขึ้นถ้ามีการใช้เครื่องพลเรือนในระบบทหาร ปัจจุบัน ทหารมีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบให้สมบุกสมบัน อย่างเช่น Panasonic Toughbook ที่กันน้ำ กันฝุ่น IP67 รองรับแรงกระแทกและรันซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ซึ่งเชื่อมกับระบบปืนเล็งอัจฉริยะ ทำให้สามารถคำนวณปัจจัยเช่น ลม ระดับความสูง และความชื้นแบบ real-time ด้วยอัลกอริทึม AI ที่ไม่มีการเปิดเผยสู่สาธารณชน
ซอฟต์แวร์ลักษณะนี้มีให้บริการเป็นแอปพลิเคชันเวอร์ชันพลเรือนเช่นกัน อย่างเช่นแอป Strelok ซึ่งเปลี่ยนให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณวิถีกระสุนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการกีฬา เครื่องคำนวณนี้คำนวณวิถีกระสุนโดยใช้หลักฟิสิกส์ขั้นสูง ร่วมกับข้อมูลพื้นฐาน แต่เสี่ยงข้อมูลรั่วไหลเพราะไม่มีการเข้ารหัส encryption และอาจไม่ทนต่อการตกหล่นในสนาม
เทคโนโลยีคำนวณวิถีกระสุนทางทหารล่าสุด มีการปรับเพิ่มให้คำนวณความแม่นยำสูงถึง 99.9% ในระยะ 2,000 หลา รองรับโปรไฟล์ปืนและกระสุนหลายแบบ และเชื่อมต่อกับลำกล้องอัจฉริยะไร้สายสำหรับทหาร ซึ่งต่างจากแอปพลเรือนตระกูล Ballistics Calculator ที่เน้นใช้งานง่าย
สรุปแล้ว เทคโนโลยีทางทหาร ยังคงนำหน้าเทคโนโลยีพลเรือนทั้งในด้านความปลอดภัยและการฝังหรือ integration ในอุปกรณ์ ทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่ขยายจากมุมมองเรื่องการหยิบยื่นน้ำใจของคนไทย ซึ่งแม้จะมีข้อถกเถียง แต่ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องว่าการบริจาคเทคโนโลยีพลเรือนสามารถเป็น "สะพาน" เชื่อมโยงประชาชนกับทหาร และอุดช่องว่างเรื่องงบประมาณได้ หากมีหน่วยกลางตรวจสอบสเปค ซึ่งหากไทยสามารถพัฒนาโครงการขึ้นมาสร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีในสิ่งของที่บริจาคมานั้นมีความเหมาะสม น้ำใจบริจาคของคนไทยก็จะเป็นการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพสูงสุด.
 
                    

