(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/09/all-is-not-lost-for-china-in-us-tiktok-deal/)
All is not lost for China in US TikTok deal
by Jeff Pao
23/09/2025
พวกผู้รู้ชาวจีนยืนยันว่า ปักกิ่งเป็นฝ่ายชนะในที่สุดด้วยซ้ำไปในการเจรจากับวอชิงตัน ในเมื่อ ไบต์แดนซ์ ยังคงเป็นเจ้าของอัลกอริทึม ที่นำหน้าใครๆ ในโลกของติ๊กต็อก ถึงแม้กิจการของติ๊กต็อกในสหรัฐฯจากนี้ไปจะตกอยู่ในความควบคุมของกลุ่มนักลงทุนอเมริกัน
ปักกิ่งกำลังส่งสัญญาณไฟเขียวให้กลุ่มนักลงทุนอเมริกันเข้าเทคโอเวอร์การดำเนินงานในสหรัฐฯของติ๊กต็อก ถือเป็นการตกลงยินยอมเปิดทางสะดวกให้อย่างหาได้ยากยิ่ง ในท่ามกลางการเผชิญหน้าบดบี้กันทางด้านเทคอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างสหรัฐฯกับจีน
การเจาะทะลวงทางตันคราวนี้ เกิดขึ้นตามหลังการพูดจากันทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ที่ผ่านมา โดยที่มีรายงานว่าประเด็นติ๊กต็อกเป็นเรื่องที่ผู้นำทั้งสองให้ความสำคัญมาก
ทั้งนี้ปัญหาลำบากที่สุดซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ทำให้ตกลงกันได้ยาก อันได้แก่เรื่องอำนาจการควบคุมอัลกอริทึมของติ๊กต็อก ปรากฏว่าได้รับการแก้ไขให้ตกไปในแบบใช้วิธีการอ้อมๆ ให้ผ่านไปได้ในเฉพาะหน้า โดยตามรายงานของพวกสื่อระบุ [1] ว่า สิ่งที่ตกลงกันก็คือ ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทเทคจีนที่เป็นบริษัทแม่ของติ๊กต็อก จะให้เช่าอัลกอริทึมของตนแก่กิจการติ๊กต็อกส่วนที่ดำเนินงานในสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน บริษัทออราเคิล คอร์ป ยักษ์ใหญ่เทคสหรัฐฯซึ่งจะเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญในต๊กต็อกอเมริกาด้วย ก็จะดำเนินการเทรนอัลกอริทึมนี้กันใหม่ และทำให้เป็นเวอร์ชั่นพิเศษเฉพาะของสหรัฐฯ “ตั้งแต่ระดับพื้นฐานขึ้นมา”
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบอก [2] ว่า จุดมุ่งหมายคือทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียชาวอเมริกันมีอำนาจควบคุมการดำเนินงานอย่างเต็มที่เหนือกลไกอัลกอริทึมซึ่งเป็นตัวทำหน้าที่ให้คำแนะนำต่างๆ ขณะเดียวกันไบต์แดนซ์ก็จะยังคงรักษาสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาเอาไว้
“รัฐบาลจีนเคารพความปรารถนาทั้งหลายของบริษัทที่กำลังเป็นปัญหาถกเถียงกันนี้ และจะมีความยินดีมากที่จะได้เห็นการเจรจากันเชิงพาณิชย์ซึ่งผลิดอกออกผล ชนิดที่ยึดมั่นปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางตลาด จนนำไปสู่หนทางออกซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบต่างๆ ของประเทศจีน และคำนึงถึงผลประโยชน์ต่างๆ ของทั้งสองฝ่าย” กัว เจียคุน (Guo Jiakun) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าว [3] เช่นนี้ ระหว่างการแถลงข่าวประจำวันตามปกติของกระทรวงในวันจันทร์ (22 ก.ย.)
“ฝ่ายสหรัฐฯจำเป็นจะต้องก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง, เป็นธรรม, และไม่มีการแบ่งแยกกีดกัน ให้แก่ทางนักลงทุนจีน” โฆษกผู้นี้กล่าวต่อ
รายงานข่าวระบุว่า วอชิงตันกับปักกิ่งบรรลุฉันทามติร่วมกันในเรื่องการขายธุรกิจในสหรัฐฯของติ๊กต็อก ให้แก่กลุ่มนักลงทุนอเมริกัน ภายหลังจากรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์ และ รองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ ลี่เฟิง จัดการพบปะพูดจาเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการค้าเป็นเวลารวม 6 ชั่วโมงที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 14 และ 15 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา ถึงแม้การหารือนี้บังเกิดขึ้นหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเพิ่งเพิ่มรายชื่อบริษัทเซมิคอนดักเตอร์จีนอีก 23 แห่งเข้าไปในบัญชีดำของตนที่เรียกชื่อว่า “Entity List” เมื่อวันที่ 13 กันยายน
คอลัมนิสต์ผู้หนึ่งที่ใช้นามปากกาว่า “จงเซิง” (แปลว่า เสียงของจีน, เสียงของระฆัง) ซึ่งเขียนให้แก่หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้า (หรือ พีเพิลส์เดลี่ People’s Daily) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และได้รับการพิจารณาว่าเป็นการสะท้อนความคิดเห็นอย่างเป็นทางการของผู้มีอำนาจทางฝ่ายจีน กล่าวในบทวิจารณ์ชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวันที่ 21 กันยายน [4] ว่า “การสนทนากันและการปรึกษาหารือกันต้องมีพื้นฐานที่ยึดโยงอยู่กับหลักการ และบรรยากาศที่จะก่อให้เกิดความร่วมมือกันก็เรียกร้องให้ต้องใช้ความพยายามร่วมกันทั้งในการสร้างขึ้นมาและในการรักษาเอาไว้”
“สิทธิต่างๆ ในการพัฒนาของประเทศจีนเป็นเรื่องที่จะต้องไม่มีการยอมประนีประนอมอ่อนข้อ และความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของประเทศจีนในการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ที่มีความชอบธรรมทั้งหลายก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำอย่างแน่วแน่มั่นคง ความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะบีบบังคับให้จีนต้องยินยอมอ่อนข้อในระดับรากฐานโดยอาศัยแรงกดดัน คือการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” คอลัมนิสต์ผู้นี้กล่าว “สหรัฐฯควรต้องยกเลิกพวกข้อจำกัดทางการค้าตามอำเภอใจของตนฝ่ายเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นการทำให้ความก้าวหน้าจากการเจรจากันซึ่งได้รับมาด้วยความยากลำบากต้องพังครืนลงไป”
เขาบอกว่า จีนกับสหรัฐฯสามารถที่จะบรรลุความสำเร็จร่วมกัน และแบ่งปันความมั่งคั่งรุ่งเรืองกัน, นำพาผลประโยชน์ต่างๆ มาสู่ประเทศทั้งสองและมาสู่โลก อย่างไรก็ดี เขากล่าวต่อไปด้วยว่า เรื่องนี้จะสามารถบรรลุได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรับผิดชอบแบบเป็นชาติมหาอำนาจรายสำคัญ, ยังคงรวมกลุ่มอยู่ในทิศทางเดียวกัน, และทำงานไปด้วยกัน
ก่อนหน้าการพบปะเจรจากันระหว่าง เบสเซนต์ กับ เหอ ที่สเปนคราวนี้ จงเซิงก็ได้เขียนไว้ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวันที่ 14 กันยายน [5] ว่า มันไม่ควรที่ฝ่ายจีนจะต้องเป็นฝ่ายที่ยอมอ่อนข้อประนีประนอมเสมอไป
“สหรัฐฯควรที่จะเคลื่อนไหวด้วยฝีก้าวเดียวกันกับจีน อีกทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง, เป็นธรรม, และปราศจากการแบ่งแยกกีดกันขึ้นมาสำหรับบรรดากิจการของจีนซึ่งกำลังลงทุนในอเมริกา” เขาบอก “สิทธิต่างๆ ในการพัฒนาของประเทศจีนต้องเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะมาบ่อนทำลายกัน และความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะบีบบังคับปักกิ่งให้ต้องยินยอมอ่อนข้อโดยอาศัยแรงกดดันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง”
หลังจากหารือทางโทรศัพท์กับ สี แล้ว ทรัมป์ก็ได้ยืดเวลาเส้นตายที่กำหนดให้ ไบต์แดนซ์ ต้องถอนตัวจากการควบคุมกิจการติ๊กต็อกในอเมริกาออกไปอีกครั้งหนึ่ง จากวันที่ 17 กันยายน ไปเป็นวันที่ 16 ธันวาคม นี่เท่ากับมีการยืดอายุเส้นตายนี้มา 3 ครั้งแล้ว โดยที่ ทรัมป์ ข่มขู่เอาไว้ว่าหาก ไบต์แดนซ์ ไม่ยอม เขาก็จะสั่งแบนไม่ให้ติ๊กต็อกดำเนินกิจการในสหรัฐฯต่อไป
ผู้สังเกตการณ์บางรายมองพัฒนาการเช่นนี้ว่า คือการที่ปักกิ่งยอมอ่อนข้อเป็นครั้งที่ 2 ในรอบระยะเวลา 3 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้จีนก็ได้ยินยอมฟื้นการจัดส่งแร่แรร์เอิร์ธไปให้แก่สหรัฐฯใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนมาแล้ว
“จีนไม่ได้พ่ายแพ้”
ธุรกิจในสหรัฐฯของติ๊กต็อก ถือว่าเป็นสมบัติมีค่าสูงที่สุดประดุจเพชรประดับมงกุฎของบริษัททีเดียว โดยที่สามารถดึงดูดยูสเซอร์ระดับกระตือรือร้นให้เข้าไปใช้งานแอปตัวนี้ได้เดือนละ 170 ล้านราย หรือถ้าคิดเป็นรายวันก็จะอยู่ที่ 82.2 ล้านราย ทั้งนี้ตามตัวเลขข้อมูลของอุตสาหกรรมนี้ [6] สำหรับเรื่องรายรับในสหรัฐฯของติ๊กต็อก เมื่อปีที่แล้วได้พุ่งขึ้นไปที่หลัก 10,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงคุณค่าเชิงพาณิชย์ของกิจการนี้ เคียงข้างไปกับการสร้างผลกระทบในทางวัฒนธรรม
ในสหรัฐฯนั้น ยูสเซอร์ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ใช้เวลาโดยเฉลี่ยวันละ 52 นาทีกับแอปตัวนี้ –ทิ้งห่าง อินสตาแกรม ซึ่งอยู่ที่ 35 นาที หรือ เฟซบุ๊ก ซึ่งอยู่ที่ 30 นาที ขณะที่เมื่อดูข้อมูลเป็นรายสัปดาห์แล้ว กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ติ๊กต็อก เป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของบริษัท ผู้ใช้ติ๊กต็อกในสหรัฐฯเมื่อจำแนกตามอายุ จะมีโครงสร้างดังนี้:
** 18-24 ปี: 25%
** 25-34 ปี: 30%
** 35-44 ปี: 19%
** 45-54 ปี: 13%
** 55 ปีขึ้นไป: 14%
ในระดับทั่วโลก ติ๊กต็อกมียูสเซอร์ระดับกระตือรือร้นเดือนละ 1,120 ล้านราย และศักยภาพการเข้าถึงผู้ใช้แอปของโฆษณาในติ๊กต็อกก็กำลังขยับเข้าไปใกล้หลัก 1,940 ล้านราย ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทรงอำนาจมากที่สุดของโลก
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 นี้ แอปตัวนี้ได้รับการดาวน์โหลดมากกว่า 436 ล้านครั้ง เพิ่มความแข็งแรงให้แก่ฐานะของมันในการเป็นพลังครอบงำรายหนึ่งในเศรษฐกิจชนิดที่ต้องช่วงชิงแข่งขันกันเพื่อให้ได้รับความใส่ใจจากยูสเซอร์ อย่างไรก็ดี ตลาดสหรัฐฯยังคงเป็นเวทีที่ทั้งทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สุดและก็มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากที่สุดสำหรับติ๊กต็อก
ตามรายงานข่าวต่างๆ เกี่ยวกับโครงสร้างของดีลที่เวลานี้ยังอยู่ในขั้นทำความตกลงกันอยู่ ระบุว่า จากนี้ไป กิจการติ๊กต็อกในสหรัฐฯจะมีพวกนักลงทุนอเมริกันเป็นผู้ถือหุ้นส่วนข้างมาก
ทำเนียบขาวบอก [7] ว่า ฝ่ายอเมริกันจะครองเก้าอี้ 6 ตัวจากทั้งหมด 7 ตัวของคณะกรรมการบริหารของธุรกิจในสหรัฐฯของติ๊กต็อก เป็นการรับประกันว่าฝ่ายอเมริกันจะมีเสียงข้างมากแน่นอนในการกำกับตรวจสอบกิจการ คาดหมายกันว่า ออราเคิล และกิจการสหรัฐฯรายอื่นๆ จะแสดงบทบาทแกนกลางในด้านความมั่นคงปลอดภัยและการบริหารจัดการ ไบต์แดนซ์จะยังคงได้เป็นผู้ถือหุ้นส่วนข้างน้อยรายหนึ่ง ขณะเดียวกับที่ยังทำหน้าที่ให้ความสนับสนุนทางเทคนิคแก่การดำเนินงานประจำวันของแพลตฟอร์มนี้ต่อไป
พวกคอมเมนเตอร์จีนบางราย ยอมรับ [8] ว่าสหรัฐฯคือฝ่ายที่จะได้ประโยชน์จากดีลครอบครองกิจการติ๊กต็อกอเมริกาครั้งนี้ แต่ก็ยืนกรานว่านี่ไม่ได้หมายความว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ปราชัยในการเจรจาต่อรองกัน
“บางคนบางฝ่ายโต้แย้งว่า จีนกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการแข่งขันชิงชัยกันคราวนี้ ทว่านั่นเป็นบทสรุปที่ไม่จำเป็นว่าจะหนักแน่นน่าเชื่อถือ” คอลัมนิสต์ที่ตั้งฐานในมณฑลเหอหนานรายหนึ่งซึ่งใช้นามปากกาว่า “ซีบรา” (Zebra) กล่าว
“โครงสร้างด้านเงินทุนของติ๊กต็อก ได้ถูกทำให้ ‘กลายเป็นอเมริกัน’ มานานแล้ว ขณะที่การตัดสินใจประจำวันยังคงอยู่ในการควบคุมดูแลของทีมไบต์แดนซ์ โครงสร้างเช่นนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกประทับตราบาปว่า มันเป็น ‘ภัยคุกคามจากทุนจีน’ ตัวหนึ่ง รวมทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสั่งแบนอย่างไม่มีความจำเป็น”
เขากล่าวว่า การที่เงินทุนจีนในธุรกิจติ๊กต็อกที่อยู่ในสหรัฐฯ กำลังจางหายไปเรื่อยๆ เช่นนี้ คือยุทธศาสตร์แบบเชิงรุกอย่างหนึ่ง เพื่อสยบเรื่องเล่าของทางวอชิงตัน ที่มุ่งเน้นหนักความมั่นคงแห่งชาติ
“ขณะที่สหรัฐฯเป็นฝ่ายได้มากกว่าทั้งทางการเมืองและทางการเงินจากดีลนี้ แต่อัลกอริทึมของติ๊กต็อก ซึ่งเป็นแกนกลางของพลังงานอำนาจทางเทคโนโลยีและมูลค่าทางยุทธศาสตร์ของแอปตัวนี้ ยังคงอยู่ในขอบเขตอำนาจของปักกิ่งอย่างมั่นคง” เขาบอก “ความสามารถในการแข่งขันของติ๊กต็อกยังดำรงคงอยู่โดยไม่ได้มีความเสียหายอะไร และความริเริ่มในการดำเนินงานก็ยังคงขึ้นอยู่กับทางฝ่ายจีน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพวกผู้ถือหุ้น”
เรื่องภาษีศุลกากรยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สุด
ที่ผ่านมา วอชิงตันได้พยายามผลักดันอย่างหนักเพื่อให้มีการตกลงปิดดีลติ๊กต็อกให้สำเร็จ โดยที่ได้เดินเกมใช้ทั้งนโยบายทางการค้าและทางเทคเพื่อการนี้ เวลานี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าสหรัฐฯจะต้องผ่อนปรนมาตรการควบคุมการส่งออกชิปของตนลงมาบ้างหรือไม่ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ปักกิ่งร่วมมือด้วยในเรื่องติ๊กต็อกนี้
เมื่อตอนที่จีนเห็นชอบที่จะกลับมาจัดส่งพวกโลหะแรร์เอิร์ธให้สหรัฐฯในเดือนมิถุนายนนั้น เพื่อเป็นการตอบแทน คณะบริหารทรัมป์ได้อนุมัติให้ อินวิเดีย จัดส่งชิปรุ่น H20 ของบริษัทไปขายให้จีน อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ทางการปักกิ่งออกคำเตือนว่าพวกผลิตภัณฑ์ของอินวิเดีย อาจมีประตูหลังที่ทำให้แม้มันถูกใช้งานในจีน แต่ก็อาจถูกตรวจจับทิศทาง, ถูกติดตามร่องรอย, หรือกระทั่งถูกสั่งปิดการทำงานจากทางไกล
คอลัมนิสต์ที่ใช้มณฑลฝู่เจี้ยนเป็นฐานผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกต [9] ว่า การเจรจาเกี่ยวกับติ๊กต็อกที่มาดริด มีอยู่ช่วงหนึ่งเกือบๆ จะพังครืนลงแล้ว ทว่าสหรัฐฯกับจีนยังคงประคับประคองการสนทนากันเอาไว้ต่อไป ขณะที่การโต้แย้งกันของพวกเขาในเรื่องภาษีศุลกากรยังไม่สามารถแก้ไขคลี่คลายได้
“ตอนที่ทุกๆ คนต่างคิดกันว่า ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถทำดีลในประเด็นติ๊กต็อกกันได้แล้ว พวกเขาก็ถูกทำให้เซอร์ไพรซ์เมื่อได้ทราบว่า การพูดจากันครั้งนี้ไม่ใช่มีเพียงเรื่องเกี่ยวกับติ๊กต็อกเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องเกี่ยวกับภาษีศุลกากรด้วย ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่อีกประเด็นหนึ่งที่สองฝ่ายจะต้องเจรจากัน” นักเขียนผู้นี้กล่าว
โดยที่ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงลงไปว่า ฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายหยิบยกประเด็นเรื่องภาษีศุลกากรขึ้นมา และฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายยอมถอย นักเขียนผู้นี้บอกว่า มันเป็นการเดินหมากซึ่งเฉียบแหลมมาก ที่นำเอาเรื่องภาษีศุลกากรและเรื่องติ๊กต็อกมารวมเข้าด้วยกันในระหว่างการเจรจา เขากล่าวว่าความเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้นำทั้งสองฝ่ายเข้ามาหากัน และบีบบังคับให้พวกเขาต้องคิดคำนวณผลได้ผลเสียของพวกเขาโดยภาพรวม แทนที่จะมุ่งโฟกัสอยู่แต่ประเด็นเฉพาะต่างๆ แยกจากกัน และทำให้สถานการณ์บานปลายออกไป
ทั้งนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับหนึ่ง ขยายเส้นตายของการเริ่มบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นมหาศาลกับสินค้าเข้าของจีนออกไปอีกครั้ง เป็นวันที่ 10 พฤศจิกายน
เชิงอรรถ
[1] https://finance.yahoo.com/news/tiktok-algorithm-secured-oracle-trump-100000512.html
[2] https://www.nbcnews.com/politics/politics-news/white-house-tiktok-algorithm-data-deal-trump-china-rcna232627
[3] https://www.mfa.gov.cn/eng/xw/fyrbt/lxjzh/202509/t20250922_11713277.html
[4] https://cpc.people.com.cn/BIG5/n1/2025/0921/c64387-40568392.html
[5] https://cpc.people.com.cn/n1/2025/0914/c64387-40563402.html
[6] https://backlinko.com/tiktok-users
[7] https://www.reuters.com/sustainability/boards-policy-regulation/americans-get-6-7-board-seats-tiktoks-us-operations-says-white-house-2025-09-20/
[8] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1843864316642792836&wfr=spider&for=pc
[9] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1843693954107306291&wfr=spider&for=pc